มีพระพุทธเป็นที่พึ่งหรือยัง


    ความรู้มีมากมายหลายสาขา ประมาณไม่ได้เลย แม้แต่การทำอาหาร ก็ยังต้อง เป็นความรู้ แต่ในบรรดาความรู้ทั้งหมด ความรู้เรื่องตัวเองซึ่งจะทำให้เรารู้จักคนอื่น ละเอียดยิบ และถ่องแท้ได้ เพราะเหตุว่าทุกคนเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าเหมือนกันอย่างไร และต่างกันตรงไหนด้วย อย่างเห็น เห็นเป็นเห็น เห็นจะเป็นได้ยินไม่ได้ เห็นจะเป็นคิด นึกไม่ได้ และทุกคนก็เห็น แต่บางคนได้เห็นสิ่งที่สวยๆ งามๆ บางคนก็เห็นสิ่งที่ไม่น่าดู เลย มีเหตุทั้งนั้นที่ทำให้เป็นอย่างนั้น และที่สำคัญกว่านั้น เห็นแล้ว ได้ยินแล้ว ก็แล้วแต่ ว่า หลังจากเห็นเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล

    เพราะฉะนั้นในวิชาการทั้งหลายที่เราคิดว่า คนโน้นก็เก่ง เราต้องไปเรียนจาก เขา เราต้องไปทำอะไรหลายอย่าง ต้องสอบบ้าง อะไรบ้าง เพื่อให้เก่งระดับที่คนอื่นยอม รับ แต่ในบรรดาคนเก่งทั้งหลาย มีใครเก่งพอที่เราจะกราบไหว้ทุกวันว่า ขอถึงเป็นที่พึ่ง บ้าง พุทธัง สรณัง คัจฉามิ เราไม่ได้พึ่งคนอื่นเลย ไม่ได้พึ่งนักวิทยาศาสตร์ อะไรๆ ทั้ง สิ้น แต่พึ่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่จริงๆ แล้วเราเพียงกล่าว แต่ยังไม่ได้พึ่งเลย เพราะฉะนั้นเป็นโอกาสที่จะได้พึ่งโดยการฟังพระธรรม ให้รู้จักพระคุณของพระสัมมา- สัมพุทธเจ้า คือ พระปัญญาคุณ ไม่มีใครรู้จักโลก และแม้สิ่งที่เหนือโลก อย่างพระ- พุทธเจ้าที่ได้ทรงตรัสรู้ก่อน และได้ทรงแสดง

    เพราะฉะนั้นทุกคำที่เราพูดตั้งแต่เกิดจนตายเป็นคำที่ไม่รู้จัก อย่างโลก เรารู้จัก แค่แผ่นดิน และมีภูเขา ทะเล ที่โน่น ที่นี่ ที่นั่น แต่พระผู้มีพระภาครู้จักโลกจริงยิ่งกว่าคน อื่น คนอื่นเพียงแค่เห็นรูปร่าง แล้วก็สืบต่อกันมาว่า นี่คือโลก ก็พูดตามๆ กันมาว่า โลก แต่โลกจริงๆ นั้นคืออะไร ทั้งหมดจะมีคำตอบในพระพุทธศาสนา ที่ทำให้เราไม่เพียงแต่ พูดว่า มีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง แต่ไม่ได้ฟังพระธรรม

    เพราะฉะนั้นถ้าจะพึ่งจริงๆ ก็คือฟังพระธรรมที่ทรงแสดง ๔๕ พรรษา ตลอดเวลา ๔๕ ปี ตั้งแต่ตรัสรู้จนกระทั่งใกล้จะปรินิพพานอย่างละเอียด เพราะรู้ว่า ปัญญาของแต่ละ คนไม่เท่ากัน บางคนฟังสั้นๆ เป็นคนที่มีเหตุผลสะสมมาแล้วที่จะละความไม่รู้ ก็สามารถ รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏได้

    เพราะฉะนั้นความรู้สำคัญที่สุด ถ้าจะรู้กับไม่รู้ ก็คิดดู อย่างไหนจะดี และความรู้ ที่สูงที่สุดไม่เกินพระธรรมได้ เพราะฉะนั้นใครจะรู้อะไรมาอย่างไรก็ตาม เกิดแล้วก็ต้องตาย แล้วก็เป็นสุข เป็น ทุกข์ น้ำท่วม ไฟไหม้ อะไรก็แล้วแต่ แต่ก็ไม่รู้จักพระธรรม กับการที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็ สามารถรู้ความจริงซึ่งเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนั้นได้ ก็เป็นอัธยาศัยจริงๆ แล้วแต่การสะสม บางคนฟังธรรมเพลินมาก ฟังตลอดเลย เข้า สาย บ่าย ค่ำ เพราะเห็นคุณค่าว่า ได้ฟังสิ่งที่ไม่เคยฟัง และสิ่งนั้นๆ เป็นความจริงซึ่งปฏิเสธ ไม่ได้เลย และยิ่งฟัง ยิ่งเข้าใจขึ้น ก็รู้ว่า เข้าใจเพียงแค่นี้ยังไม่พอ ยังสามารถเข้าใจได้ อีก อยู่ที่ศรัทธา ท่านเรียกว่า ความน้อมใจเชื่อเพราะเห็นประโยชน์ ถ้าสิ่งใดที่มี ประโยชน์สำหรับคนนั้น คนนั้นทำแน่นอน แต่ถ้าตราบใดที่คนนั้นยังไม่เห็นประโยชน์ สำหรับเขา เขาก็ไปทำสิ่งอื่นซึ่งเขาคิดว่ามีประโยชน์สำหรับเขา


    หมายเลข 8624
    19 ก.พ. 2567