งานอดิเรกที่ดีที่สุด


    ทุกคนคงเคยได้ยินคำว่า “งานอดิเรก” ไม่มีใครบังคับให้ทำเลย ใช่ไหมคะ แต่เป็นเพราะความสนใจ เพราะฉะนั้นเรามีงาน ทุกคนเกิดมาในวัยทำงานก็ทำงานไป แต่จะเป็นอะไรก็ตามแต่ บางคนชอบเล่นไพ่ บางคนก็ชอบเล่นกอล์ฟ อะไรก็แล้ว ดนตรี เป็นต้น นั่นคืองานอดิเรก จะบอกว่าเราไม่มีเวลาสำหรับงานอดิเรกที่เราชอบหรือ ใช่ไหมคะ พอว่างนิดหนึ่ง เราก็หันไปหาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นดนตรี หรือฟังเพลง อะไรก็ตามแต่

    เพราะฉะนั้นเวลาที่มีสำหรับผู้ที่มีความสนใจในสิ่งหนึ่งสิ่งใด เขาก็จะหันไปหาสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นเรื่องที่จะศึกษาธรรม หรือฟังธรรม ไม่มีเวลา นี่ไม่ใช่ เพราะเหตุว่าเหมือนงานอดิเรกซึ่งไม่มีใครบังคับ แต่เป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่างานอื่นๆ งานทั้งหลายก็นำมาซึ่งเรื่องราว อย่างคนที่คิดเรื่องไฟฟ้า รถไฟ เครื่องบิน จนกระทั่งวิทยุ โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ พวกนี้ก็เป็นงานของเขา ซึ่งเขาก็สะสมมา ทำไมคนอื่นไม่ทำล่ะ คนนี้ทำด้านนี้

    เพราะฉะนั้นแต่ละคนก็แต่ละอัธยาศัย คนหนึ่งก็ตัดเสื้อ คนหนึ่งก็ทำผม ก็แล้วแต่ เพราะฉะนั้นคนที่จะฟังธรรม ก็เป็นอย่างหนึ่งซึ่งไม่แปลก เพราะว่าได้สะสมศรัทธาที่จะรู้ว่า ชีวิตนี้สั้น เกิดมาตายได้เลยทันที ๒ เดือน ๓ เดือน ปีหนึ่ง ๑๐๐ ปีก็มี ก็แล้วแต่ แต่ว่าระหว่างนั้นทำอะไรที่คิดว่าเหมาะสมควรมีประโยชน์ที่สุดแล้วหรือต่อการที่จะต้องตาย เพราะอย่างไรก็ต้องตาย ใช่ไหมคะ เราจะทำเพื่อประเทศไทย เกิดใหม่เราก็ไม่รู้ว่า จะอยู่ที่ประเทศไทยหรือเปล่า ใช่ไหมคะ ทำไม่ใช่เฉพาะเจาะจงประเทศไทย ทำเพื่อโลก เราเกิดอีก เราจะอยู่โลกไหนก็ยังไม่รู้เลย

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีประโยชน์ในระหว่างที่ยังไม่จากโลกนี้ไป ซึ่งทุกคนจากแน่ค่ะ และประโยชน์นั้นเป็นประโยชน์แก่ตนเองด้วย เมื่อเป็นประโยชน์แก่ตนเอง คือ คุณความดีก็ต้องเป็นประโยชน์แก่คนอื่นด้วย แล้วทำไมเราจึงไม่คิดที่ว่า ที่เรากำลังทำงานอยู่ทุกวันนี้ เป็นความดีหรือเป็นอะไร

    เพราะฉะนั้นถ้าศึกษาธรรมแล้ว ก็เป็นส่วนพิเศษของความสนใจที่จะได้ประโยชน์ที่ว่า มีโอกาสจะได้เข้าใจทุกอย่าง เพราะว่าถ้าพรุ่งนี้ตาย ทำไงคะ ทำงานแค่นี้จบแล้ว พอใจแล้วที่ได้ทำแค่นี้ แล้วก็ย่นย่อเกิดกับตายให้ติดกัน ง่ายมากเลย ไม่มีอะไรในระหว่างนั้นเลย แต่เพราะเกิดกับตายนี่ห่างกัน จนกระทั่งมีเวลาตรงกลาง ส่วนใหญ่สะสมสิ่งที่ไม่ดี ซึ่งเรามองเห็นเลยว่า พอใครแสดงการกระทำอะไรที่ไม่ดี เรารู้ว่านี่ไม่ดี แต่ความไม่ดีมีตั้งแต่อย่างที่ออกมาทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง แต่ถึงยังไม่ออกเลย ขณะนั้นก็ไม่ดี โดยที่ไม่รู้ คิดว่าดีแล้ว แต่พอมาถึงพระพุทธเจ้าท่านสามารถมีพระญาณที่ละเอียดยิ่งที่จะรู้การสะสมของแต่ละคนว่า ชาติก่อนๆ ๆ ซึ่งเราก็เคยเกิดมาแล้ว และตายแล้วเราก็ต้องเกิดอีก เป็นอะไร อยู่ที่ไหน และสะสมอะไรมามากน้อยแค่ไหน

    เพราะฉะนั้นที่เราคิดว่าเราดีแล้ว ไม่ใช่ดี เพราะอะไรคะ เพราะไม่รู้ความจริง ไม่ใช่กล่าวง่ายๆ ลอยๆ ว่าไม่ดีๆ แต่ไม่มีเหตุผล ดีก็ไม่ได้ไปทำร้ายใครในทางที่ทุจริตเบียดเบียน นั่นคือความดี คือละเว้นสิ่งที่ทุจริต แต่ขณะที่กำลังละเว้น เราก็ยังมีความไม่ดี ซึ่งคนจะไม่รู้เลยว่า ความไม่ดีนั้นคืออะไร ความไม่ดีนั้นคือไม่รู้ความจริง เกิดมา มาจากไหน อยู่ดีๆ ก็เกิดมาอย่างนั้นหรือ หรือถ้าเป็นคนที่มีเหตุผล เขาก็จะต้องรู้ว่า ต้องมีเหตุที่ให้เกิด และเหตุที่ให้เกิดหลากหลายมาก คนเกิดมาก็ยังไม่เหมือนกันเลย อะไรทำให้แต่ละคนต่างกัน บางคนเป็นเศรษฐี บางคนพิการ บางคนนิสัยดี บางคนทั้งๆ ที่เป็นเศรษฐี นิสัยก็แย่มาก ทั้งๆ ที่มีคนยากจน นิสัยก็ดี

    นี่ก็เป็นสิ่งที่แต่ละคนไม่ได้รู้เลยว่า ต้องมีเหตุแน่นอน และระหว่างที่เรายังเกิดอยู่ เราก็กำลังสะสมเหตุนั้นๆ โดยที่เราไม่รู้ตัวเลย ถ้าไม่ได้ฟังคำสอนว่า แท้ที่จริงทุกขณะมีเหตุที่ทำให้เกิดขึ้น และถ้าเป็นความดี และความชั่วนั้น ไม่ได้ไปไหนเลยสะสมอยู่ในจิต ใครจะลักขโมยออกไปไม่ได้เลย เพราะว่าจิตเป็นสิ่งที่อยู่ภายในที่สุด ไม่มีอะไรที่จะในยิ่งกว่าจิต


    หมายเลข 8601
    19 ก.พ. 2567