เสียงธรรมจากธัมเมกสถูป


    ณ กาลครั้งหนึ่ง สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรม ณ ที่นี้ให้พระปัญจวัคคีย์ได้ฟัง เห็นไหมคะ เพียงแต่เห็น ใจของเราก็คิดถึงเรื่องราวในอดีต และก็รู้ว่า ณ ที่นี้ คือ ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรม ทรงอนุเคราะห์สัตว์โลกให้รู้แจ้งอริยสัจธรรม ดับกิเลสเช่นที่พระองค์ได้รู้แจ้ง เป็นการถึงความสมบูรณ์ของการสะสมพระบารมีที่จะอนุเคราะห์ให้คนอื่นได้รู้ตาม ถ้าไม่มีใครได้รู้ตามเลย ใครจะรู้ถึงพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ต้องเป็นผู้ที่สะสมปัญญา ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก จึงสามารถเข้าใจพระธรรม ทุกคำเป็นวาจาสัจจะ คือ เป็นคำจริงที่ส่องถึงสภาพธรรมที่มีจริง เช่น ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้ เป็นวาจาสัจจะ เป็นความจริง แล้วก็ไม่ใช่เสียง เพราะว่าเสียงไม่สามารถปรากฏให้เห็นได้ แต่เสียงก็เป็นสิ่งที่ปรากฏให้ได้ยิน ให้รู้ว่าเสียงมี ก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ปรากฏต่อเมื่อมีจิตได้ยิน

    นี่ก็คือทุกขณะในชีวิตค่ะ เกิดดับสืบต่อรวดเร็วมาก ต้องอาศัยการฟังจนค่อยๆ เข้าใจขึ้น แล้วก็ละคลายความติดข้องที่เคยยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ไม่ดับ แต่ถ้าไม่ดับแล้ว จะมีธรรมปรากฏหลายๆ อย่างพร้อมกันได้อย่างไร แต่เพราะเหตุว่าธรรมอย่างหนึ่งเกิดปรากฏแล้วดับไป แล้วธรรมอื่นก็เกิดสืบต่อ ปรากฏแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็วมาก สุดที่จะประมาณได้ จึงไม่ปรากฏว่า ธรรมหนึ่งธรรมใดเกิดดับเลย

    เพราะฉะนั้นการสืบต่ออย่างรวดเร็วทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ๖ โลก ก็ทำให้เกิดความยึดมั่นเพราะความไม่รู้ในสิ่งที่แท้จริงดับแล้ว แต่ก็มีสิ่งที่มีปัจจัยทำให้เกิดปรากฏเหมือนเดิม ทำให้เข้าใจผิดคิดว่าไม่ได้ดับไปเลย ทั้งๆ ที่สภาพธรรมแต่ละขณะ แม้แต่เสียง เสียงที่กำลังปรากฏขณะนี้ไม่ใช่เสียงก่อน เสียงก่อนหายไปไหน เกิดแล้วดับไปไม่เหลือเลย แต่ก็ยังติดข้อง ยังจำได้ แล้วยังคิดเป็นเรื่องราวของเสียงนั้น

    เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมก็คือ ได้ฟังความจริงของสิ่งที่มีจริง และเห็นประโยชน์ของการเกิดมาแล้วอยู่ด้วยความไม่รู้ เป็นเหตุให้เกิดความติดข้องทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และเวลาที่ไม่ได้สิ่งที่ต้องการก็เกิดโทสะ กิเลสทั้งหลายก็นำมาเพราะความไม่รู้ แต่ถ้ารู้จริงๆ ว่า ทั้งหมดเป็นสภาพธรรม เห็นก็เป็นธรรม โกรธก็เป็นธรรม สำคัญตนก็เป็นธรรม พยาบาทก็เป็นธรรม เมตตาก็เป็นธรรม แล้วจะเป็นของใครคะ เป็นแต่เพียงธรรมหลากหลาย ซึ่งเกิดมาแล้วก็หมดไป แต่ว่าสะสมสืบต่ออยู่ในจิต ทำให้แต่ละคนแม้จะจากโลกนี้ไปแล้ว แต่สิ่งที่สะสมไว้ในโลกนี้ก็ติดตามไป ทำให้เป็นแต่ละบุคคล แต่ละอัธยาศัย แม้แต่รูปร่างกาย เป็นคน มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็ไม่เหมือนกัน ตามความละเอียดของกรรมที่ได้กระทำแล้ว

    เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมก็เป็นเรื่องของความอดทน การเห็นประโยชน์ มีความเพียร และตรงตามความเป็นจริง คือ สัจจะว่า ฟังเพื่อเข้าใจ

    เพราะฉะนั้นถ้าฟังแล้วไม่เข้าใจ ฟังอีก ทบทวน ไตร่ตรอง จนกระทั่งรู้ว่า คำที่ได้ยินเป็นวาจาสัจจะ ซึ่งจะนำไปสู่ญาณสัจจะ ความรู้ที่ถูกต้องจริงๆ ไม่ผิดไปจากพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ จนกระทั่งสามารถเป็นมรรคสัจจะ หนทางนำไปสู่การอบรมปัญญายิ่งขึ้น จนสามารถละความไม่รู้ และความติดข้อง ซึ่งจะทำให้เมื่อละแล้ว สภาพธรรมจึงสามารถปรากฏตามความเป็นจริงว่า แต่ละหนึ่ง เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วจะเยื่อใยใน ๑ ซึ่งเกิดแล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีกไหมคะ


    หมายเลข 8600
    19 ก.พ. 2567