พระคุณอันประเสริฐสูงสุด


    พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ผู้ที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่ทุกคนมีตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ไม่รู้ ให้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง ละความไม่รู้ซึ่งเป็นต้นเหตุให้เกิดอกุศลต่างๆ มากมายมหาศาล เพราะว่าเพิ่มขึ้นแต่ละวันที่ไม่รู้

    เพราะฉะนั้นเมื่อสามารถมีความเข้าใจถูกก็สามารถรู้ว่า สิ่งใดเป็นอกุศล สิ่งที่ไม่ดี และธรรมที่ตรงกันข้าม คือ ความดีนั้นคืออะไร ถ้ามีปัญญาเหมือนแสงสว่างก็จะนำไปสู่ทางของกุศล ห่างไกลจากอกุศลซึ่งเคยมีมากมาย แต่ว่าห่างทันทีไม่ได้เลย ค่อยๆ เป็นไปตามความเข้าใจ ถ้าความเข้าใจน้อยมากแล้วก็อยากจะดับกิเลส พูดถึงเรื่องสติปัฏฐาน ไม่มีทางที่จะเข้าใจได้ มีแต่ความอยากที่จะทำ

    เพราะฉะนั้นคำสอนใดก็ตามที่นำไปสู่ความอยาก หรือความต้องการ นั่นไม่ใช่คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่คำสอนใดแม้เพียงคำเดียวที่จะทำให้เข้าใจถูกต้องในสิ่งที่มีในขณะนี้ได้ แม้เพียงเล็กน้อยในขั้นต้น คำนั้นก็มีประโยชน์มาก เพราะเหตุว่าเป็นวจีสัจจะ เป็นความจริงที่จะทำให้ความเข้าใจสิ่งที่มี และไม่เคยรู้เลย และบางคนก็จากโลกนี้ไปทั้งๆ ที่ไม่รู้เลย ตั้งแต่เกิดจนตายไม่รู้ ต่อไปอีก ชาติหน้า ชาติไหนๆ เหมือนชาติก่อนๆ ที่ผ่านมา ก็แล้วแต่ว่าจะได้สะสมการได้ยินได้ฟังมากน้อยแค่ไหน แต่ถ้าเปรียบเทียบความไม่รู้กับความรู้ ก็จะเห็นได้ว่า ความไม่รู้มากมายมหาศาล

    เพราะฉะนั้นจะมีตัวตนที่จะไปเร่งรัดที่จะไปทำให้ความไม่รู้หมดสิ้นไป ทำให้โลภะหมดไป ทำให้โทสะหมดไป เป็นความเพ้อฝัน เป็นไปไม่ได้เลย ไม่ใช่ความจริง

    เพราะฉะนั้นความเป็นผู้เคารพในพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คือ ศึกษาพระธรรมด้วยความไม่ประมาทในพระพุทธดำรัสทุกคำว่าเป็นความลึกซึ้งอย่างยิ่ง ซึ่งสามารถทำให้เราเกิดปัญญารู้ตาม ยังไม่ต้องใช้คำว่า “สติปัฏฐาน” เพราะเหตุว่าธรรมมีตั้งแต่ขั้นต้น ลำดับแรก คือ ขั้นปริยัติ หมายความถึงความรอบรู้ในธรรม ไม่ใช่ในตัวหนังสือ ไม่ใช่ภาษาบาลี อ่านได้ แปลได้ แต่ต้องรู้ว่า คำนั้นหมายถึงสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ ขณะนี้เอง มิฉะนั้นแล้วจะไม่ชื่อว่า เป็นผู้ศึกษาปริยัติธรรม เพราะปริยัติธรรม คือ ความรอบรู้พระธรรมที่ทรงแสดงโดยการไตร่ตรองทุกคำ เช่น คำว่า “ธรรม” ถ้าศึกษาธรรมโดยไม่รู้ว่า ขณะนี้เป็นธรรม ไม่รู้ว่าเห็นเดี๋ยวนี้เป็นธรรม ไม่รู้ว่า คิดนึกเกิดแล้วดับแล้ว เปลี่ยนเรื่องแล้วเป็นธรรม ถ้าไม่รู้อย่างนี้ ไม่ชื่อว่า ศึกษาพระธรรม ไม่ใช่ปริยัติ เพราะฉะนั้นจะเป็นวจีสัจจะไม่ได้ ถ้าไม่เป็นไปเพื่อละความไม่รู้

    เพราะฉะนั้นเมื่อมีความเข้าใจถูกต้องแล้ว ก็จะนำไปถึงปัญญาอีกระดับหนึ่ง ซึ่งสามารถเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ความต่างของสภาพธรรมหลากหลายมาก เพราะเหตุว่าเห็นก็ไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่คิดนึก ไม่ใช่ได้กลิ่น ไม่ใช่ลิ้มรส ทั้งวันก็เป็นความหลากหลายของธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดแล้วดับไปเร็วมาก ใครรู้บ้างคะว่า วันนี้ธรรมที่เกิดแล้วดับไปแล้วมีจำนวนเท่าไร ไม่มีทางเลยค่ะ ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าเป็นธรรม แล้วการเกิดดับก็เร็วสุดที่จะประมาณได้ จนเสมือนว่าไม่ได้ดับไปเลย อย่างขณะนี้ เห็นไม่ใช่ได้ยิน ขณะที่เห็น ไม่มีเสียงปรากฏ ขณะที่ได้ยิน สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาปรากฏไม่ได้ เพราะขณะนั้นมีเฉพาะเสียงที่ปรากฏ

    นี่ก็แสดงให้เห็นถึงการเกิดดับสืบต่อที่เร็วสุดที่จะประมาณได้ ใครรู้คะ ถ้าไม่ได้บำเพ็ญพระบารมีถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีทางที่จะรู้ได้เลย แล้วก็ไม่ใช่รู้เฉพาะตน แต่ทรงพระมหากรุณาที่รู้ว่า สัตว์โลกที่ไม่รู้มีมากมายมหาศาล เพราะฉะนั้นสัตว์โลกสามารถเข้าใจธรรมจากการได้ฟังคำที่เป็นวจีสัจจะ

    เพราะฉะนั้นทรงบำเพ็ญพระบารมีให้ถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นก็จะเห็นพระมหากรุณาคุณซึ่ง ณ กาลครั้งหนึ่ง สมัยหนึ่งประทับ ณ ที่นี้ ทรงแสดงพระธรรมให้ผู้ที่ได้ฟังในครั้งนั้นสามารถเข้าใจในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง และถ้าสะสมปัญญามาพอที่จะละความติดข้อง และเข้าใจความจริงของสภาพธรรม ก็สามารถที่จะประจักษ์ความจริง ซึ่งความจริงเป็นอย่างไร ความเห็นถูกก็ต้องเห็นตรงตามความเป็นจริงอย่างนั้น


    หมายเลข 8623
    19 ก.พ. 2567