เพื่อรู้....ไม่ใช่เพื่อเรา
กานตา ท่านอาจารย์บอกว่า สัมมัปปธานเกิดตอนที่มีสัมมาสติ หมายความว่าต้องเป็นตอนที่เป็นสติปัฏฐาน หรือวิปัสสนาญาณใช่ไหมคะ
ท่านอาจารย์
กานตา แต่ถ้าเป็นไปในทาน ศีล ไม่เรียกว่า สัมมัปปธาน
ท่านอาจารย์
กานตา จะเป็นสัมมัปปธาน ก็ต่อเมื่อพร้อมกันทั้ง ๔ อย่าง
ท่านอาจารย์
กานตา อย่างเราเป็นปุถุชน วันๆจิตเราเดี๋ยวก็เป็นโลภะบ้าง โทสะบ้าง แต่พอมีสติก็นึกได้ว่า เมื่อกี้เราโลภะ โทสะ มานะ อิสสา ตามปกติพอมีสตินึกได้ ก็จะตรึกไปในสภาพธรรมขณะนั้น อย่างเช่น แข็ง ร้อน ตึง ไหวที่ปรากฏ ตอนนั้นก็รู้ว่า รู้ด้วยกายวิญญาณหรือโสตวิญญาณ หรือจักษุวิญญาณ คือรู้ว่าไม่ใช่สติปัฏฐาน แต่หนูก็ไม่แน่ใจว่า ที่ตรึกไปด้วยปสาทแบบนี้ ด้วยจักขุวิญญาณ กายวิญญาณแบบนี้บ่อยๆเนืองๆ จะทำให้เนิ่นช้าหรือเปล่าคะ
ท่านอาจารย์
ข้อสำคัญที่สุดก็คือให้ทราบว่า เรื่องที่เราเข้าใจธรรมจากการศึกษาไม่พอที่จะละความเห็นผิด ในเมื่อสภาพธรรมมีจริงๆ และเรายังไม่รู้จักลักษณะของสภาพธรรม จะชื่อว่า เรารู้จักธรรมไม่ได้ เราเพียงรู้จักเรื่องราวเพื่อที่จะเป็นปัจจัยให้ค่อยๆมีสติปัฏฐานเกิด เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีความเข้าใจเรื่องธรรมเลย สติปัฏฐานก็เกิดไม่ได้
กานตา แต่วันๆ จิตเราก็มักจะตกไปในอกุศล ถ้าเราจะพิจารณาเพื่อให้เป็นเครื่องอยู่ เพื่อไม่ให้อกุศลเกิดมากเกินไป
ท่านอาจารย์
กานตา ก็เป็นเรื่องเจตนา
ท่านอาจารย์
กานตา อย่างพอเรามีสติรู้ตัวว่า จิตเราเป็นอกุศลแล้ว แล้วเราก็ตรึกไปในหัวข้อธรรม พิจารณาหัวข้อธรรมเพื่อต้องการให้กุศลจิตเกิด อันนี้นึกดูว่า เหมือนกับจะเป็นกุศล แต่จริงๆมันก็หลอกลวงใช่ไหมคะ
ท่านอาจารย์
เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่แม้แต่หนทางในอริยสัจ ๔ ลึกซึ้งทั้ง ๔ ค่ะ ไม่มีใครบอกว่า สติปัฏฐาน ๔ หรือมรรคมีองค์ ๘ เป็นเรื่องง่ายๆ แต่เป็นเรื่องละเอียดรอบคอบ เป็นเรื่องจริงที่จะต้องเข้าใจตรงว่า ขณะนั้นมีอะไรแฝงอยู่หรือเปล่า ตราบใดที่ไม่ใช่สติปัฏฐาน เราก็ให้โลภะจางไปไม่ได้เลย ไม่มีทางจะจางเลยค่ะ