ทุกอย่างมีเพราะคิด
ศืลกัณต์ แล้วภวังคจิตคั่น ที่ว่าเกิดเป็นนึกคิด เป็นลักษณะอย่างไรครับ
ท่านอาจารย์
ศืลกัณต์ ที่ว่ามโนทวารวิถีเห็นปรมัตถธรรมครั้งแรก
ท่านอาจารย์
ศืลกัณต์ อันนี้ปัญญาขั้นนี้ไม่สามารถจะรู้ได้เลยใช่ไหมครับ
ท่านอาจารย์
ศืลกัณต์ มโนทวารวิถีเกิดขึ้นครั้งแรก ก็จะเห็น
ท่านอาจารย์
ศืลกัณต์ และที่ว่าจะเป็นความคิดนึก จะช่วงไหนครับ
ท่านอาจารย์
ศืลกัณต์ เมื่อไม่มีอารมณ์ ก็เป็นความนึกคิด
ท่านอาจารย์
ศืลกัณต์ ก็จิตดวงเดียวกัน มโนทวารวิถี
ท่านอาจารย์
ศืลกัณต์ หลังจากรู้เป็นเรื่องราวแล้ว เป็นความคิดทางตา
ท่านอาจารย์ เรื่องราวคิดนึกทางมโนทวารดับแล้ว จิตอะไรเกิด ภวังคจิตเกิด ต้องพูดอย่างนี้เลย ต้องพูดเป็นจิตแต่ละ ๑ ขณะ แต่ละวาระ แต่ละทาง ถึงจะชัดเจน พอดับแล้วเป็นอย่างไรคะ
ศืลกัณต์ วิถีอื่นเกิด
ท่านอาจารย์ วิถีอะไร
ศืลกัณต์ ก็แล้วแต่
ท่านอาจารย์ ถ้าจะคิด ก็คือคิด อย่างคำว่า “คิด” นี่ จิตรู้ใช่ไหม คือ ขณะนั้นทางมโนทวารจิตมีคำว่า “คิด” เป็นอารมณ์
ศืลกัณต์ ส่วนที่จะคิดนานหรือไม่นาน ก็เป็นเรื่องของปัจจัย
ท่านอาจารย์ “
ศืลกัณต์ ที่ว่ารู้นานหรือไม่นาน ความคิดนี่ที่เกิดขึ้นดับไป จะ
ท่านอาจารย์ ทีละ ๑ ขณะ ทีละ ๑ คำ สืบต่อกัน ถ้าเป็นชวนะก็ ๗ ขณะ คำว่า “คำ” ก็คือชวนจิต ๗ ขณะ มีคำว่า “คำ” เป็นอารมณ์
ศืลกัณต์ ครับ ที่ผมกราบเรียนถามนี่เพราะบางทีคิดนานเหลือเกิน เรื่องเดียวกัน บางทีก็คิดไม่นาน
ท่านอาจารย์ คุณศิลกัณต์ คิดได้ทีละกี่คำ
ศืลกัณต์ คำเดียวครับ
ท่านอาจารย์ นั่นแหละค่ะ วาระเดียวคือคำหนึ่ง วาระหนึ่งคือคำหนึ่ง จะกี่คำก็แล้วแต่
ศืลกัณต์ อยู่ที่ปัจจัยใช่ไหมครับ
ท่านอาจารย์ ที่พูดมาแล้วกี่คำ นับได้ไหมคะ
ศืลกัณต์ นับไม่ได้ครับ
ท่านอาจารย์ นั่นแหละค่ะ คือแล้วแต่กี่คำก็กี่คำ นานหรือสั้นก็แล้วแต่จะคิดเรื่องนี้สั้น จะคิดเรื่องนี้ยาวก็แล้วแต่ แต่ให้ทราบว่า คิดคือจิตที่คิดทางมโนทวาร ทางตาเห็น ไม่ได้คิด ทางหูได้ยิน ไม่ได้คิด จมูกได้กลิ่น ไม่ได้คิด ลิ้นลิ้มรส ไม่ได้คิด รู้โผฏฐัพพะ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว ไม่ได้คิด คิดทั้งหมดต้องเป็นทางมโนทวาร มากมายมหาศาล ไม่มีอะไรเหลือเลยก็คิดว่า มี
นี่คือความไม่รู้ สีดับไปหมดแล้ว เสียงดับไปหมดแล้ว กลิ่นดับหมดแล้ว รสดับหมดแล้ว สิ่งที่กระทบสัมผัสก็ไม่ปรากฏ แต่คิดว่ามีด้วย คิดว่ายังอยู่ด้วย คิดว่ายังเป็นคนนั้น คิดว่าเป็นคนนี้ นี่คือความไม่รู้ทั้งหมด