เป็นเรื่องละตั้งแต่ต้น


    พระพุทธศาสนาเป็นเรื่องละตั้งแต่ต้น ละความไม่รู้ที่เกิดจากการไม่เคยฟัง ขณะใดที่กำลังฟังเข้าใจขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ความรู้ความเข้าใจนี้ละความไม่รู้ หรือความที่เคยไม่รู้จากการที่ไม่เคยได้ฟัง เท่านั้นค่ะ ละมากกว่านี้ไม่ได้  ตามระดับขั้นของปัญญา แต่ให้ทราบว่า การศึกษาพระพุทธศาสนา ไม่ใช่เพื่อลาภ ไม่ใช่เพื่อยศ ไม่ใช่เพื่อสรรเสริญ ไม่ใช่เพื่อสักการะ เพราะว่าบางคนมีทุกอย่างพร้อม ลาภก็มี ยศก็มี สุขก็มี ยังต้องการสักการะหรือสรรเสริญ ลองคิดดูซิคะว่า ความต้องการของคนไม่เคยหยุด คนที่ไม่มีเงิน อาจจะต้องการเงิน คนที่ไม่มีลาภ อาจจะต้องการลาภ คนที่ไม่มียศ อาจจะต้องการยศ  คนที่ไม่มีสุข อาจจะต้องการสุข แต่มีแล้วทั้งหมด ก็ยังไม่หมดความต้องการ บางคนก็ต้องการแม้สักการะหรือสรรเสริญ

    แต่ถ้าศึกษาพระพุทธศาสนาจริงๆ ละโดยตลอดตั้งแต่ต้น ถ้าไม่ละ จะไม่มีการรู้แจ้งอริยสัจธรรม แต่การละก็ต้องละตามลำดับขั้น อย่างละของพระโสดาบันไม่ใช่การละของพระสกทาคามี ไม่ใช่การละของพระอนาคามี  ไม่ใช่การละของพระอรหันต์ ต้องเป็นระดับขั้นว่า ของพระโสดาบันนั้นละอะไร ไม่สามารถจะละเกินกว่านั้นได้

    เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังฟังขณะนี้  ละความเป็นตัวตนไม่ได้เลย แต่เริ่มฟังให้เข้าใจว่า สภาพธรรมจริงๆเป็นอย่างไร แล้ววันนี้ก็คิดว่า ทุกคนคงจะเข้าใจความหมายของ “ธรรม”  จะแบ่งโดยนัยไหนก็ได้ จะแบ่งโดยธรรมเทศนาก็ได้ พูดถึงเรื่องธรรมทั้งหมด จะแบ่งเป็นกุศลธรรมอกุศลธรรมก็ได้ หรือจะแบ่งโดยละเอียดกว่านี้ก็ได้ อย่างที่เราฟังสวดอภิธรรม ก็จะแบ่งโดย กุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา อัพยากตา ธัมมา ซึ่งก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่เป็นปรมัตถธรรมนั่นเอง

    เพราะฉะนั้นเมื่อกี้นี้เรากล่าวถึงการศึกษาธรรม และตัวธรรม และธรรมมี ๒ อย่าง คือ นามธรรมและรูปธรรม สำหรับปรมัตถธรรมที่เรากล่าวถึงแล้วทั้งหมด โดยสรุปจริงๆ ตามประเภทของธรรม จะมีต่างกันเป็น ๔ อย่าง คือ จิต ประเภทหนึ่ง เจตสิก ประเภทหนึ่ง รูป ประเภทหนึ่ง และนิพพาน ซึ่งไม่ใช่จิต ไม่ใช่เจตสิก ไม่ใช่รูป

    ปรมัตถธรรมมี ๔ เวลาที่เราศึกษาปรมัตถธรรม หรืออภิธัมมัตถสังคหะก็คือศึกษาสภาพธรรม ๔ อย่างนี้เอง คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน แค่นี้ก็คือคร่าวๆ ที่ว่าเราจะเข้าใจให้ถูกต้อง แล้วเราก็จะเริ่มเรียนต่อไปเรื่อยๆ ให้เข้าใจสภาพธรรม คือ จิต เจตสิก รูป นิพพานเพิ่มขึ้น

    ตอนนี้ก็เป็นเรื่องของคำถามได้ค่ะ ถ้ามี จิต เจตสิก รูป นิพพาน อภิธรรม ปรมัตถธรรม ความจริงก็เรียนกันมาทั้งนั้น แต่ต้องทราบว่า เป็นสิ่งที่มีจริงๆในขณะนี้ ที่กำลังปรากฏ เพราะว่ากำลังหลับสนิท สภาพธรรมเหล่านี้ไม่ปรากฏเลย จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมตอนหลับสนิทไม่ได้  จะศึกษาลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมไม่ได้ขณะที่เป็นภวังค์หรือหลับสนิท  ต้องขณะที่สภาพธรรมปรากฏ แล้วก็เริ่มเข้าใจถูกต้องในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ถ้าไม่มีสภาพธรรมปรากฏให้ศึกษา ให้เข้าใจ แล้วเราจะบอกว่า เราเข้าใจธรรม ได้ไหมคะ เข้าใจธรรมอะไร นึกเอา คิดเอา หรืออย่างไร ในเมื่อสภาพธรรมที่มีจริงๆ ขณะนี้ไม่ได้เข้าใจ


    หมายเลข 8268
    8 ก.ย. 2558