เห็นแล้วรู้ว่าสิ่งที่เห็นเป็นอะไร ไม่ใช่มิจฉาทิฏฐิก็ได้


    การที่เวลาเห็นแล้ว รู้ว่าสิ่งที่เห็นเป็นอะไร ขณะนั้นไม่ใช่มิจฉาทิฏฐิก็ได้ ไม่ใช่สักกายทิฏฐิ เพราะเหตุว่าแม้พระอรหันต์เห็นก็ยังรู้ในรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏ ถ้ามิฉะนั้นแล้วพระอรหันต์ก็ยังต้องมีสักกายทิฏฐิอยู่ ใช่ไหมคะ แต่แม้แต่ผู้ที่เป็นพระโสดาบันบุคคลก็ดับมิจฉาทิฏฐิทั้งหมดทุกประเภทไม่เกิดอีกเลย แต่เมื่อพระโสดาบันบุคคลเห็น ดับไปแล้ว ก็มีการตรึกนึกถึงรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏ ไม่มีการไปยับยั้งว่า ไม่ให้นึกถึง ใช่ไหมคะ เพราะเหตุว่านี่เป็นจิตนิยาม เป็นธรรมเนียมของจิต ซึ่งการรู้อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด จะต้องรู้ทั้ง ๒ ทวาร คือ เมื่อรู้สี รูปารมณ์ทางจักขุทวารดับไปแล้ว ทางมโนทวารจะเกิดขึ้นรับรู้สีนั้นต่อ เวลาที่ได้ยินเสียงทางโสตทวารวิถีจิตดับไปหมดแล้ว ภวังคจิตเกิด ดับไปแล้ว มโนทวารวิถีจิตก็จะรู้เสียงนั้นต่อ ไม่ว่าอารมณ์ใดๆที่ปรากฏ ชวนวิถีจิตจะเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทั้ง ๒ ทวาร คือ ทางทวารหนึ่งทวารใดในปัญจทวาร แล้วก็ทางมโนทวาร หลังจากภวังคจิตที่เกิดคั่น ดับไปแล้ว

    เพราะฉะนั้นสักกายทิฏฐิเป็นความเห็นผิด อย่าลืมค่ะ ไม่ใช่เป็นการตรึกนึกถึงรูปร่างสัณฐาน แล้วรู้ว่าสิ่งที่ปรากฏเป็นอะไร

    ผู้ฟัง    ถ้าอย่างนั้นหมายความว่า ขณะที่ตรึกนึกถึงรูปร่างสัณฐาน ไม่จำเป็นจะต้องเป็นมิจฉาทิฏฐิเสมอไป

    ส.   ไม่ใช่สักกายทิฏฐิเสมอไปค่ะ เป็นวิถีจิต เป็นธรรมเนียมของจิตที่จะเกิดดับสืบต่อกัน

    ผู้ฟัง    ถึงแม้ว่าสติไม่เกิด ก็ไม่จำเป็นต้องเป็น...

    ส.   เวลานั้นไม่มีความเห็นใดๆ ไม่มีการยึดถือ ยึดมั่นในสักกายะว่า เป็นเราหรือเป็นตัวตน สิ่งที่เป็นของเที่ยงแท้ ไม่เกิด ไม่ดับ หรืออะไรอย่างนั้น

    ผู้ฟัง    มิจฉาทิฏฐิกับสักกายทิฏฐิต่างกันอย่างไรคะ

    ส.   ต่างกันที่ว่า สักกายทิฏฐิเป็นความเห็นผิดธรรมดา ซึ่งไม่กั้นมรรคผลและสวรรค์ เพราะเป็นความเห็นผิดที่ยึดถือในสิ่งที่ประชุมรวมกัน แล้วก็ไม่รู้ถึงความไม่เที่ยง ความเกิดดับของสิ่งนั้น มิจฉาทิฏฐิอื่นๆ เช่น เห็นว่าบุญบาปไม่มี


    หมายเลข 7341
    20 ส.ค. 2558