กุศล อกุศลที่เกิดแต่ละขณะ ไม่ใช่เป็นการสะสมเปล่าๆ


    ฉะนั้น ผู้ที่ยังเป็นปุถุชนมีทั้งธรรมที่เป็นฝ่ายกุศลและอกุศลที่สั่งสมมามากมายเหลือเกิน เวลานี้สภาพธรรมใดยังไม่เกิดขึ้นปรากฏให้รู้ให้เห็นว่า สะสมมา ก็อาจจะคิดว่าไม่มี หรือว่าหมดไปแล้ว แต่ว่าตามความเป็นจริงแล้ว ถ้ามีปัจจัยพร้อมที่จะปรุงแต่งให้เกิดขึ้นขณะใด ก็เกิดขึ้นปรากฏให้เห็นตามความเป็นจริงว่า ยังมีอยู่ แม้อกุศลอย่างนั้นๆ หรือกุศลนั้นๆ ที่ได้สะสมมา เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่จะต้องรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า เมื่อมีการเกิดขึ้นของกุศลและอกุศล ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นการสะสมเปล่าๆ แต่ว่า “ชื่อว่า จิต เพราะเป็นธรรมชาติอันกรรมกิเลสสั่งสมวิบาก”

    กิเลสที่เกิดขึ้นแต่ละขณะ ไม่ว่าจะเป็นโลภะ หรือโทสะ หรือโมหะ ถ้ามีมากๆ จะปรากฏเป็นทุจริตกรรมทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง ถ้าไม่มีกิเลสต่างๆ เหล่านั้น อกุศลกรรมทางกาย ทางวาจา เหล่านั้นก็เกิดขึ้นไม่ได้เลย และเมื่อกรรมได้กระทำไปแล้ว ถึงแม้ว่ากรรม คือ จิตและเจตสิกที่เกิดร่วมกันกระทำกรรมนั้นสำเร็จลงไปแล้ว ดับไปแล้วก็จริง แต่ว่าการเกิดดับสืบต่อๆ กันของจิตทุกๆ ขณะต่อไป เจตนาที่กระทำกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมที่สะสมอยู่นั้น เป็นกัมมปัจจัย เป็นสภาพธรรมที่จะทำให้ผล คือ วิบากเกิดขึ้น เป็นวิปากปัจจัย แต่ละขณะนี้มีปัจจัยจริงๆ ที่กำลังเรียนเรื่องจิต เรื่องเจตสิก เรื่องรูป ให้ทราบว่า มีปัจจัยอยู่ด้วยทุกขณะ ไม่ใช่เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเอง แต่ว่าเป็นสภาพธรรมที่อาศัยปัจจัยหลายอย่างเกิดขึ้น เช่น กำลังเห็นขณะนี้ ไม่ใช่กิเลส ใช่ไหมคะ เพียงเห็น แต่เมื่อจิตนั้นดับไปแล้ว ความพอใจซึ่งเป็นโลภะก็เกิด หรือความไม่พอใจ ซึ่งเป็นโทสะก็เกิด หรือว่าผู้ที่สะสมกุศลมามาก กุศลก็เกิด หรือว่าผู้ที่สะสมสติปัฏฐานอยู่เสมอ สติก็ระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ เมื่อมีความยินดี พอใจ สะสมสืบต่อกระทำกรรมแล้ว กรรมนั้นดับไปแล้ว แต่ว่าเป็นปัจจัยให้เกิดวิปากจิตและเจตสิก ในขณะที่เห็น ที่ได้ยิน ที่ได้กลิ่น ที่ลิ้มรส ที่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส

    เพราะฉะนั้นต้องทราบว่า ขณะใดเป็นกิเลส ขณะใดเป็นกรรม ขณะใดเป็นวิบาก

    กำลังเห็น เลือกไม่ได้เลย ทุกคนอยากจะเห็นสิ่งที่น่าพอใจ เท่าไรก็ไม่พอ เห็นแล้วก็อยากจะเห็นอีก ทุกวันไป แต่ว่าเลือกไม่ได้ แล้วแต่ว่าจะเห็นสิ่งที่น่าพอใจ หรือไม่น่าพอใจ แม้ว่าทุกคนจะมีจักขุปสาทที่เกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย แต่ว่าสิ่งที่ปรากฏกับจักขุวิญญาณโดยกระทบกับจักขุปสาท แล้วแต่กัมมปัจจัยจะเป็นปัจจัยให้เกิดการเห็นสิ่งที่ดี เป็นผลของกุศลกรรม เห็นสิ่งที่ไม่ดี เป็นผลของอกุศลกรรม

    การได้ยินเสียง ก็เหมือนกันนะคะ ได้ยินเสียงที่ดีเป็นผลของกุศลกรรม ได้ยินเสียงที่ไม่ดี เป็นผลของอกุศลกรรม สภาพที่เป็นผลของกรรมนี้ ชื่อว่า “วิปาก” หรือภาษาไทยใช้คำว่า “วิบาก” เป็นผลของกรรม แล้วแต่ว่าใครจะมีกุศลวิบากมาก หรือว่าอกุศลวิบากมาก ขณะต่อไปทราบไหมคะว่า จะได้ยินเสียงอะไร แล้วแต่กรรมเป็นปัจจัย

    เพราะฉะนั้นกรรมนั้นเองเป็นปัจจัย โดยเป็นกรรม จึงเป็นกัมมปัจจัย และปัจจัยทั้งหมดก็มีเพียง ๒๔ ปัจจัย ถ้าจะค่อยๆ ศึกษาไป แล้วก็เข้าใจไป พร้อมทั้งสติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ก็ยิ่งจะเข้าใจชัดในลักษณะที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นสภาพธรรมที่มีจริง แล้วควรรู้ และต้องรู้ ปัญญาจึงจะเจริญขึ้นถึงความแก่กล้าที่จะดับกิเลสเป็นสมุจเฉทได้ แต่ถ้ายังไม่รู้ๆ ๆ ๆ อยู่ ก็ไม่มีการที่จะดับกิเลสได้ และความรู้ก็รู้ขึ้นๆ ๆ ค่อยๆ รู้ขึ้นๆ อย่าพอใจว่ารู้แล้ว ก็ไม่แล้วเลยค่ะ ถ้าแล้ว ก็คือ พระอรหันต์ แต่ว่าผู้ที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์ ก็จะรู้ขึ้นๆ ๆ ตั้งแต่ขั้นการฟัง และขั้นเข้าใจในสิ่งที่ได้ฟัง แล้วก็ขั้นที่สติระลึกรู้ในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง และขั้นที่ปัญญาน้อมพิจารณาในสิ่งที่ค่อยๆ เข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏเพิ่มขึ้น

    มีข้อสงสัยอะไรไหมคะ


    หมายเลข 7022
    4 เม.ย. 2564