ความต่างกันระหว่างเหตุปัจจัย กับ ปกตูปนิสสยปัจจัย


    มีข้อสงสัยอะไรไหมในเรื่องนี้   เป็นเรื่องที่ไม่ยาก   ปกตูปนิสสยปัจจัย   เพราะเหตุว่า   เป็นชีวิตประจำวัน   สำหรับข้อสำคัญอีกประการหนึ่งที่ควรเข้าใจของปกตูปนิสสยปัจจัย   คือ

    ประการที่ ๒   คือ  ความต่างกันของเห-ตุปัจจัยและปกตูปนิสสยปัจจัย   

    สำหรับเห-ตุปัจจัยต้องเป็นสหชาตปัจจัย คือ ปัจจัยและปัจจยุปบันนต้องเกิดร่วมกัน  พร้อมกัน

    เพราะฉะนั้นในขณะที่จิตเกิดขึ้นขณะนี้ ประกอบด้วยเหตุอะไร   ประกอบด้วยอโลภเหตุ   อโทสเหตุ   อโมหเหตุ   เป็นมหากุศลที่ประกอบด้วยปัญญา  หรือว่าเป็นอกุศลประเภทโลภมูลจิต ไม่มีทางจะรู้ได้เลย  รู้แต่ชื่อเท่านั้น ถ้าสติสัมปชัญญะไม่เกิด จะไม่รู้จักตัวจริง  คือ สภาพธรรมซึ่งมีลักษณะนั้น ๆ ว่า สภาพธรรมที่เป็นโลภะมีลักษณะอย่างหนึ่ง  สภาพธรรมที่เป็นอโลภะ  ตรงกันข้าม  มีลักษณะอีกอย่างหนึ่ง  หรือสภาพที่เป็นโทสะมีลักษณะอีกอย่างหนึ่ง   สภาพธรรมที่เป็นอโทสะที่ตรงกันข้าม   มีลักษณะอีกอย่างหนึ่ง

    เพราะฉะนั้นสำหรับจิตซึ่งเป็นโลภะบ้าง   หรือโทสะบ้าง   เป็นโลภมูลจิต   หรือโทสมูลจิต   หรือมหากุศลจิตก็ตาม   ก็เพราะเหตุ คือ เจตสิกนั้น ๆที่เป็นเหตุเกิดร่วมด้วย   เช่น   เมื่อจิตประกอบด้วยโลภะ เจตสิกคือโลภะเป็นเหตุปัจจัยเกิด พร้อมกับจิตใดจิตนั้นจะเป็นสภาพธรรมอื่นไม่ได้   นอกจากเป็นไปตามกำลังของโลภะ   คือ  เป็นสภาพธรรมที่พอใจและติดในอารมณ์นั้น   และเหตุปัจจัย   คือ โลภเจตสิกนั้นต้องดับพร้อมกับจิตนั้น

    แต่สำหรับปกตูปนิสสยปัจจัย   ไม่เป็นอย่างนั้น   เพราะเหตุว่าปกตูปนิสสยปัจจัยจะไม่เกิดร่วมกับปัจจยุปบันน   ไม่ใช่สหชาตปัจจัย   ซึ่งถ้าไม่กล่าวถึงตัวอย่าง   ก็อาจจะมองไม่เห็นชัด   แต่ลองคิดดูตามธรรมดาว่า   ทุกท่านเห็นสิ่งเดียวกัน   แต่เพราะอะไรคนหนึ่งจึงเกิดโลภมูลจิต   อีกคนหนึ่งเกิดโทสมูลจิต   ต่างกันได้   จิตนั้นประกอบด้วยเห-ตุปัจจัย   คนหนึ่งประกอบด้วยโลภเจตสิกเป็นโลภมูลจิต   ส่วนอีกคนหนึ่งประกอบด้วยโทสเจตสิก   เป็นโทสมูลจิต   แม้ว่าจะเห็นสิ่งเดียวกัน   

    เพราะอะไร ?   เพราะปกตูปนิสสยปัจจัย   คือการสั่งสมของคนที่เกิดโลภมูลจิต   เคยชอบ   เคยพอใจ   เคยยินดีในอารมณ์นั้น   แต่อีกคนหนึ่ง  ไม่ชอบ   ไม่พอใจ   ไม่ติดในอารมณ์นั้น

    บางคนชอบร้อน   บางคนชอบหนาว   อยู่ในห้องเดียวกัน   ก็ลำบากแล้วใช่ไหม   คนหนึ่งก็จะเปิดหน้าต่าง   อีกคนหนึ่งก็จะปิดหน้าต่าง   เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยทั้งสิ้น   แต่สภาพของจิตในขณะนั้น   สติสัมปชัญญะที่ระลึกจะรู้ว่า  เป็นโลภมูลจิตหรือเป็นโทสมูลจิต   แต่ที่จิตในขณะนั้นจะเป็นโลภมูลจิตหรือโทสมูลจิต   เพราะปกตูปนิสสยปัจจัย   แต่ตัวจิตซึ่งเป็นโลภมูลจิตประกอบด้วยเห-ตุปัจจัย  คือ ถ้าประกอบด้วยโลภะเป็นเหตุ ก็เป็นโลภมูลจิต  ถ้าประกอบด้วยโทสะเป็นเหตุเกิดร่วมด้วย   ก็เป็นโทสมูลจิต   แต่ที่จิตในขณะนั้นจะเป็นโลภมูลจิต   หรือโทสมูลจิตนั้น   เพราะปกตูปนิสสยปัจจัย   แต่ตัวจิตซึ่งเป็นโลภมูลจิตประกอบด้วยเห-ตุปัจจัย  คือ ถ้าประกอบด้วยโลภะเป็นเหตุ ก็เป็นโลภมูลจิต  แต่ที่จิตจะเป็นโลภมูลจิตหรือโทสมูลจิตนั้น   แล้วแต่ปกตูปนิสสยปัจจัย

    เพราะฉะนั้นก็จะเห็นความต่างกันของเหตุปัจจัยและปกตูปนิสสยปัจจัยว่า

    สำหรับเห-ตุปัจจัยนั้น   ต้องเป็นสหชาตปัจจัย   คือ  ปัจจัยและปัจจยุปบันนเกิดร่วมกันและดับพร้อมกัน

    ส่วนปกตูปนิสสยปัจจัยเป็นปัจจัยที่สะสมปรุงแต่งจนมีกำลังให้เหตุปัจจัยนั้น ๆ เกิดกับจิตในขณะนั้น ๆ   


    หมายเลข 5319
    28 ส.ค. 2558