กุศลธรรมเป็นปกตูปนิสสยปัจจัยให้เกิดกุศลธรรม


    ซึ่งจะขอกล่าวถึงตามลำดับ   พอสมควรที่จะให้เข้าใจลักษณะของปกตูปนิสสยปัจจัย

    เช่นข้อที่ว่ากุศลธรรมเป็นปกตูปนิสสยปัจจัยให้เกิดกุศลธรรม

    ท่านผู้ฟังที่มีสัทธาเกิดขึ้นสะสมมาเป็นผู้ที่มีอุปนิสัย   มีสัทธาในการที่จะให้ทาน  ไม่ใช่ตัวตน  ไม่ใช่สัตว์  ไม่ใช่บุคคลเลย   ขณะใดที่จิตเกิดขึ้นมีสัทธาเป็นไปในทานประเภทใด   สติสามารถที่จะระลึกรู้ว่า  ในขณะนั้นเป็นสภาพธรรมซึ่งเกิดขึ้นเพราะกุศลในอดีตซึ่งเคยให้ทานมาแล้วในอดีต   เป็นปกตูปนิสสยปัจจัยให้ทานกุศลในขณะนี้เกิดขึ้น   และจะเพิ่มพูนยิ่งขึ้นด้วย

    ถ้าท่านที่มีสัทธาในการฟังพระธรรม  ในการศึกษาธรรม   ในการพิจารณาธรรม  ในการอบรมเจริญปัญญา   ในการเจริญสติปัฏฐาน   กุศลเหล่านี้จะเป็นปกตูปนิสสยปัจจัยให้เกิดวิปัสสนาญาณแต่ละขั้นตามลำดับ   หรือสำหรับท่านผู้ใดก็ตามซึ่งในขณะนี้วิปัสสนาญาณเกิดขึ้น   ก็ให้ทราบว่า  เพราะกุศลก่อน ๆ   ที่ได้กระทำสะสมมาแล้วเป็นปกตูปนิสสยปัจจัย  คือ เป็นปัจจัยโดยสภาพที่มีกำลังตามปกติที่จะให้วิปัสสนาญาณในขณะนี้เกิดขึ้น   ถ้าไม่มีสภาพธรรมในอดีตที่สะสมมาที่มีกำลัง  พร้อมที่จะให้สภาพธรรมในขณะนี้เกิดขึ้นเป็นไปอย่างนี้  สภาพธรรมในขณะนี้ก็จะเกิดขึ้นเป็นไปอย่างนี้ไม่ได้

    เพราะฉะนั้นไม่ว่าท่านผู้ฟังจะมีสัทธาในการกุศลในขั้นใด เช่น ในทานต่าง ๆ ประเภทต่าง ๆ  หรือในศีลต่าง ๆ   ไม่ว่าจะศีล ๕  หรือศีล ๘  หรือว่าศีล ๒๒๗   ก็เป็นเพราะอดีตกุศลเคยสะสมมาด้วยดีจนเป็นปกติที่จะทำให้สภาพกุศลประเภทนั้น ๆ เกิดขึ้น

    ด้วยเหตุนี้ข้อความในพระไตรปิฎก   เมื่อเวลาที่บุคคลหนึ่งบุคคลใดมีกิริยา   หรือมีการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด   เป็นเหตุให้พระภิกษุกราบทูลพระผู้มีพระภาคถึงเรื่องของบุคคลนั้น   พระผู้มีพระภาคจะทรงแสดงว่า  แม้การกระทำนั้น ๆ   ของบุคคลนั้นในปัจจุบันชาตินี้   ก็ได้เคยกระทำมาแล้วในอดีตเช่นเดียวกัน

    เพราะฉะนั้นในชาดกต่าง ๆ  หรือในประวัติของพระสาวกต่าง ๆ   ก็จะเห็นได้ว่า  กุศลธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับท่านในชาตินี้   ไม่ได้เพียงเกิดขึ้นกับท่านเฉพาะในชาตินี้   แต่ว่าเคยเกิดขึ้นเป็นไป   ได้เคยกระทำมาแล้วในอดีตชาติจนเป็นปกติ   เป็นอุปนิสัย   เป็นสภาพธรรมที่มีกำลัง  ทำให้กุศลนั้น ๆ เกิดขึ้นอีกในปัจจุบันชาตินี้


    หมายเลข 4952
    28 ส.ค. 2558