จะทราบได้อย่างไรว่าฟังธรรมที่ถูกต้อง


    ส.   คงจะมีหลายทัศนะ ขอเรียนถามให้พิจารณา เพราะว่าธรรมเป็นสิ่งที่จริง และถูกต้องตามความเป็นจริงทุกกาลสมัย เห็นก็เป็นธรรม ทรงแสดงเรื่องของขณะที่ตาเห็นก็มีสิ่งที่ปรากฏ และเมื่อเห็นแล้วเกิดความยินดีพอใจ หรือไม่ยินดี ไม่พอใจ เป็นสิ่งที่มีจริง ใช่ไหมคะ

    เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงแสดงก็เป็นชีวิตประจำวัน ซึ่งมีอยู่ทุกขณะ และเราจะได้ทราบว่า ไม่ได้ทรงแสดงสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นปรากฏ แต่เมื่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดแล้วปรากฏ แล้วไม่เคยรู้มาก่อนเลย พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ซึ่งดูเหมือนไม่มีอะไรที่จะต้องกล่าวสอนเลย เช่น ทุกคนจะต้องมีตาเห็น แล้วสุขบ้าง ทุกข์บ้างจากสิ่งที่เห็น ดูเป็นของธรรมดา แต่ตามความเป็นจริงจากสิ่งที่ทรงตรัสรู้ ก็ได้ทรงแสดงสิ่งที่ลึกซึ้งที่จะให้เห็นว่า แม้แต่การเห็นที่เกิดขึ้น ก็ไม่มีใครสามารถสร้างได้หรือทำได้เลย ใครก็ทำเห็นไม่ได้ ทำได้ยินไม่ได้ ไม่ว่าใคร แต่เมื่อมีเหตุปัจจัยให้จิตเห็น หรือสภาวธรรมที่เห็นเกิดขึ้นในขณะนี้ เห็นกำลังเห็น เป็นสภาพธรรมที่มีจริงอย่างหนึ่งซึ่งทรงแสดงไว้ว่า เป็นอนัตตา หมายความว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่มีสัญชาติ ไม่ใช่ชาติจีน ชาติไทย ชาติหนึ่งชาติใดเลย เป็นสภาพธรรมที่เมื่อเกิดขึ้นจึงเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้ ซึ่งต้องอาศัยเหตุปัจจัย คือ จักขุปสาท รูปชนิดหนึ่งที่อยู่กลางตาที่เกิดเพราะกรรมเป็นสมุฏฐาน ถ้ารูปนี้ไม่มี กรรมไม่ได้ทำให้รูปนี้เกิด การเห็นในขณะนี้จะมีไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่ดูเหมือนเป็นธรรมดา ทรงแสดงถึงปัจจัยที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็วด้วย ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้เมื่อมีความเห็นถูกความเข้าใจถูก ค่อยๆเข้าใจว่า พระธรรมที่ทรงแสดง ก็ทรงแสดงถึงเรื่องสิ่งที่มีจริง ให้เข้าใจถูกต้องว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา และไม่สามารถบังคับบัญชาได้ ทุกอย่างที่ได้ยินได้ฟังสามารถพิสูจน์ได้ทันที และเพิ่มความเข้าใจขึ้นถ้าได้พิจารณาไตร่ตรองความจริงนั้นๆ

    ทุกคนอยากเห็นสิ่งที่น่าพอใจ แล้วใครเลือกได้ บางกาลก็เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ โดยที่เราก็ไม่รู้ว่า อะไรเป็นปัจจัยให้บางครั้งเห็นสิ่งที่น่าพอใจ และบางครั้งเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ แต่ทรงแสดงถึงเหตุที่ทำให้ แม้จิตที่จะเห็นก็เกิดขึ้นเพราะจักขุปสาทที่ยังไม่ดับ เพราะว่ารูปเกิดดับเร็วมาก รูปทุกรูปมีอายุเพียงจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ แล้วรูปนั้นก็ดับไป ซึ่งไม่มีใครสามารถประจักษ์นี้เลย แม้นักวิทยาศาสตร์ แม้ขณะนี้ที่ดูเหมือนเห็นด้วย ได้ยินด้วย ความจริงแล้วก็ต่างขณะ ที่ไกลกันเกิน ๑๗ ขณะจิต เพราะฉะนั้น รูปใดก็ตามที่เกิดแล้วไม่ปรากฏ รูปนั้นเกิดแล้วดับแล้ว

    เพราะฉะนั้น ก็จะย่อทุกส่วนที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้ามาเหลือเพียงชั่ว ๑ ขณะจิต ซึ่งขณะเห็น จักขุปสาทต้องยังไม่ดับ สีสันวัณณะซึ่งเป็นธาตุชนิดหนึ่งที่สามารถกระทบกับจักขุปสาทเกิดพร้อมกับจักขุปสาทแล้วยังไม่ดับด้วย เป็นปัจจัยให้จิตเห็นในขณะนี้เกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับ แล้วก็ยังมีจิตที่เกิดต่อ จนกระทั่งถึงกาลที่ติดข้อง เพลิดเพลิน พอใจในสิ่งที่เห็น หรือไม่ชอบใจเลย ไม่ติดข้องเลยในสิ่งที่เห็น ก็เป็นชีวิตประจำวัน ถ้าได้ศึกษาแล้วก็จะเพิ่มความเข้าใจสิ่งที่เราเคยยึดถือว่า เป็นเรา ให้เห็นตามความเป็นจริงว่า ไม่มีเราเลยสักขณะเดียว เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป และสิ่งที่ดับไปแล้ว ไม่ได้กลับมาอีกเลย ซึ่งทั้งหมดก็พิสูจน์ได้ว่า มีอะไรที่กลับมาบ้าง ต้องเป็นผู้ที่ต้องละเอียดรอบคอบจริงๆ จึงสามารถเข้าใจพระธรรมได้ ต้องเป็นเรื่องของการพิจารณาไตร่ตรอง แล้วพิสูจน์ธรรมด้วยตนเอง ไม่ใช่เพียงเชื่อว่า เป็นข้อความในพระไตรปิฎก หรือท่านผู้นี้กล่าว หรือท่านผู้นั้นเป็นท่านผู้รู้กล่าว แต่ต้องฟังและพิสูจน์ แล้วการรู้ความจริงก็คือรู้ความจริงของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ว่าตรงตามความเป็นจริง ก็เป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จนกว่าจะหมดความสงสัย


    หมายเลข 4684
    29 ส.ค. 2558