ศึกษาธรรมในอดีตกับปัจจุบันต่างกันอย่างไร


    ศีลกันต์   การศึกษาธรรมในครั้งอดีต ในครั้งพุทธกาลกับปัจจุบัน มีลักษณะที่เหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร

    ส.   การศึกษาธรรมก็คือการได้เข้าใจสิ่งที่เป็นธรรม ต้องรู้ว่า ขณะนี้กำลังฟังธรรมเพื่อเข้าใจธรรม ไม่ใช่ฟังเรื่องอื่นที่เรารู้กันว่า วันนี้ฝนจะตกไหม หรือที่นั่นที่โน่นเป็นอย่างไร นั่นคือไม่ได้ฟังธรรม และไม่ได้ศึกษาธรรมด้วย

    เพราะฉะนั้น แม้แต่คำว่า “ธรรม” ก็น่าสนใจที่จะรู้ว่า การศึกษาธรรมคือการฟังเพื่อให้เข้าถึงพระปัญญาของพระผู้มีพระภาคที่ได้ทรงตรัสรู้ และทรงแสดงธรรมเพื่อให้คนอื่นมีความรู้ ความเข้าใจในสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสรู้ด้วย

    เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องฟังและคิดไตร่ตรองว่า อะไรที่เราไม่รู้ และอะไรที่พระองค์ทรงตรัสรู้จึงได้มีการฟัง เพื่อให้รู้ว่า ความรู้หรือความคิดของเรา ความเข้าใจที่เราคิดเองจะต่างจากความจริงที่พระองค์ตรัสรู้และทรงแสดงอย่างไร เพราะจริงๆแล้ว ถ้าเข้าใจคำว่า “ธรรม” หมายความถึงสิ่งที่มีจริงๆ และสิ่งที่มีจริงในขณะนี้มีหรือเปล่า เพียงแค่ฟังต้องคิด ถ้าฟังเผินๆ ไม่คิดเลย ก็เพียงแต่จำชื่อ จำคำ จำเรื่องราว แต่ในขณะนี้เองถ้ารู้ว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ก็จะรู้ได้ว่า ไม่พ้นจากสภาพที่กำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังได้กลิ่น กำลังลิ้มรส กำลังรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แม้กำลังคิดนึก แต่ถ้าไม่ได้ฟังธรรมก็ไม่ได้รู้เลยว่า นี่เป็นธรรม แต่เข้าใจว่าเป็นเรา เป็นเขา เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวก็ใจดี เดี๋ยวก็ใจร้าย ขณะหนึ่งๆก็เปลี่ยนไป แต่ทั้งหมดเป็นธรรม เพราะหมายถึงสิ่งที่มีจริง เกิดเมื่อไร ปรากฏให้รู้ความจริงในขณะนั้น ถ้าขณะนี้ยังไม่ขุ่นเคืองใจ จะรู้ลักษณะของความขุ่นใจไม่ได้ เพราะว่าลักษณะนั้นไม่ได้ปรากฏ เพียงแต่คิดถึงเรื่องของความขุ่นเคืองใจ ซึ่งอาจจะมี เมื่อวานนี้อาจจะมีหลายเรื่องซึ่งไม่พอใจ คิดได้ แต่ขณะนั้นลักษณะที่ขุ่นเคืองใจเหมือนอย่างเมื่อวานนี้ที่กำลังเป็น ยังไม่ได้ปรากฏ

    เพราะฉะนั้น ความต่างกันก็คือว่า ถ้าฟังธรรม เริ่มที่จะไม่คิดถึงอย่างอื่นเลย แต่กำลังฟังให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ จนกว่าจะเข้าใจขึ้น เพราะไม่เคยเข้าใจมาก่อนว่า เห็นขณะนี้มีจริง พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ความจริงของเห็นขณะนี้หรือเปล่า หรือรู้อย่างอื่น ถ้ารู้อย่างอื่นจะมีประโยชน์ไหม เพราะว่าขณะนี้ทุกคนกำลังเห็น และไม่รู้อะไรที่เกี่ยวกับการเห็นเพิ่มขึ้นเลย ยังคงเป็นเห็นเหมือนเดิม ด้วยความไม่รู้ ด้วยการยึดถือว่าเป็นตัวตน

    เพราะฉะนั้น ถ้าได้ฟังความจริงและเข้าใจถูกต้องในเรื่องของสิ่งที่มีจริงๆในขณะนี้ ขณะนั้นกำลังฟังพระธรรมเพื่อให้เข้าใจความหมายของคำว่า “ธรรม” และเพื่อให้รู้ว่า พระองค์ทรงตรัสรู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมซึ่งไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของใคร เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป นี่คือสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ซึ่งต้องอาศัยการฟังบ่อยๆ จนกว่าจะเข้าใจขึ้น


    หมายเลข 4329
    31 ส.ค. 2558