อยากสงบ แล้วจะสงบได้อย่างไร
ผู้ฟัง
ส. สงบต้องหมายถึงกุศลที่ปราศจากโลภะ โทสะ และโมหะ อย่าลืม ถ้าไม่ใช่แล้วไม่ใช่ความสงบ
ผู้ฟัง
ส. กำลังติดใจก็เป็นลักษณะของโลภะแล้ว
ผู้ฟัง
ส. เพราะฉะนั้น ท่านผู้ฟังต้องรู้ถึงจุดแยกตอนนี้ระหว่างความสงบกับโลภะ ถ้ายังไม่รู้ว่า ทั้งหมดที่ปฏิบัติมาแล้ว แท้ที่จริงเป็นความสบาย เป็นความพอใจ เป็นความชอบ เป็นความต้องการ จึงนั่งแล้วอยากให้เป็นอย่างนั้นอีก จะเป็นความสงบได้อย่างไรคะ ความสงบเกิดได้ด้วยปัญญาแม้ในขณะนี้
นี่จึงจะเป็นความสงบจริงๆ สามารถสงบได้โดยปราศจากโลภะ โทสะ โมหะ และรู้ด้วยว่า จิตสงบเพราะอะไร จะต้องมีปัจจัยที่ถูกต้อง ไม่ใช่อยากจะสงบ เลยไปนั่ง เพราะต้องการความสบายอย่างนั้น แล้วถือว่าความสบายนั้นเป็นความสงบ นั่นไม่ใช่ความสงบแล้ว ที่อยากไปนั่ง ต้องการอย่างนั้น ไม่ใช่ความสงบเลย
ผู้ฟัง
ส. หลายท่านจะไม่เชื่อที่บอกว่า ที่กำลังจดจ้องเป็นสมาธินั้นไม่สงบ เพราะฉะนั้น ท่านผู้ฟังต้องแยกกันแล้ว สมาธิ สมถะ วิปัสสนา บางครั้งในพระไตรปิฎกใช้คำว่า สมาธิ เท่านั้น แต่ทรงมุ่งหมายถึงสัมมาสมาธิ ซึ่งเป็นไปพร้อมกับความสงบและปัญญา แม้จะเป็นปัญญาต่างขั้น เวลาที่ทรงแสดงธรรมถึงฌานขั้นต่างๆ ก็ทรงใช้คำว่า “สมาธิ” แต่ก็อย่าเข้าใจผิดว่า แม้มิจฉาสมาธิก็ทรงมุ่งหมายในที่นั้น เพราะเหตุว่าถึงแม้จะใช้คำกลางว่า สมาธิ แต่ถ้าเป็นเรื่องของกุศลฌาน ย่อมหมายความถึงสัมมาสมาธิที่ต้องเกิดพร้อมกับความสงบ อย่าทิ้งคำว่า ความสงบ และบางแห่งจะใช้คำชัดทีเดียวว่า ที่อธิบายลักษณะของสมาธิว่า สมาธิซึ่งเป็นกุศลนั้นมุ่งหมายสมาธิที่เกิดพร้อมกับความมั่นคงของความสงบ ต้องมีความสงบอยู่ด้วยถ้าเป็นกุศล แต่ไม่ใช่ความสบาย แล้วไปถือว่า ความสบายนั้นคือความสงบ โดยปัญญาไม่ได้รู้เลยในสิ่งที่ปรากฏว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร