เรื่องปัจจัยควรศึกษาในขณะที่มีชีวิตอยู่


    สำหรับของปัจจัยทั้งหลายไม่ควรจะเป็นหลังจากที่สิ้นชีวิตแล้วจึงค่อยฟังหรือได้ยิน แต่ควรจะเป็นการศึกษาในขณะที่มีชีวิตอยู่ให้เข้าใจว่า  สิ่งที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงไว้โดยละเอียด   แท้ที่จริงแล้ว คือ ทุกขณะในชีวิตประจำวัน  ถ้าเราไม่ได้ยินได้ฟังเลย เราก็ไม่รู้เท่านั้นเองว่า ในขณะนี้การกระทำนี้ โดยเห-ตุปัจจัย หรือว่าโดยอธิปติปัจัย เพราะเหตุว่าได้เรียนให้ทราบแล้วว่า สำหรับเวลาที่โลภเจตสิกเกิดขึ้นทำให้จิตเป็นโลภมูลจิต นอกจากจะทำให้จิตและเจตสิกเกิดแล้ว  โลภมูลเจตสิกซึ่งเป็นเหตุนั้นยังทำให้รูปเกิดร่วมด้วย และสำหรับทางฝ่ายอโลภะ อโทสะ ก็เช่นเดียวกัน   เวลาที่เกิดขึ้นนอกจากจะทำให้จิตเจตสิกเกิดร่วมด้วยแล้ว ก็ยังเป็นปัจจัยทำให้รูปเกิดขึ้น   เป็นไปในกุศลทั้งหลายด้วย  และในขณะที่จิตเจตสิกเกิดขึ้นเป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้างนั่นเอง   สภาพธรรมใดเป็นอธิปติ คือ เป็นใหญ่ เป็นหัวหน้าในขณะนั้นก็ล้วนแต่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนทั้งสิ้น

    มีท่านผู้ฟังท่านหนึ่ง  ท่านก็บอกว่า ท่านรู้สึกว่าการฟังของท่านสับสน เพราะเป็นเรื่องของสติปัฏฐาน  แล้วเรื่องจิต เป็นเรื่องเจตสิก บางครั้งก็มีเรื่องรูปด้วย แล้วก็มาถึงเรื่องของปัจจัย   รู้สึกว่าเป็นการยากสำหรับท่าน เพราะเหตุว่าท่านอาจจะไม่คุ้นเคยกับการที่จะศึกษาธรรมในแบบต่าง ๆ เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วมักจะศึกษาตามนัยของอภิธรรมมัตถสัคหะ ซึ่งรจนาโดยท่านพระอนุรุทธาจารย์ โดยที่ท่านประมวลจิตทั้งหมดที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเป็นปริจเฉทที่ ๑ และเจตสิกทั้งหมดเป็นปริจเฉทที่ ๒   ตลอดไปจนถึงปริจเฉทที่ ๙

    แต่ว่าสำหรับการอบรมเจริญสติปัฏฐาน จุดประสงค์ในการบรรยายเพื่อที่จะให้ท่านผู้ฟังได้พิจารณาธรรม เพื่อที่จะเห็นสภาพความเป็นอนัตตาของธรรมที่กำลังปรากฏ  เพราะฉะนั้นเมื่อได้พูดถึงเรื่องจิตบ้าง และได้พูดเรื่องเจตสิกบ้างเล็กน้อย เพื่อที่จะให้ท่านผู้ฟังเห็นสภาพที่เป็นอนัตตาจริง ๆ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล จึงได้กล่าวถึงเรื่องของปัจจัย เพราะเหตุว่าการที่สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดจะเกิดขึ้นต้องมีปัจจัย คือ สภาพธรรมที่อิงอาศัยอุปการะเกื้อกูลให้สภาพธรรมนั้น ๆ เกิดขึ้น เพราะเหตุว่าสภาพธรรมที่เป็นอนัตตานั้น ไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นตามใจชอบได้ แต่ต้องอาศัยเห-ตุปัจจัยเกิดขึ้น 

    แล้วสำหรับปัจจัยทั้งหมดมีโดยประเภทใหญ่  ๆ ๒๔ ปัจจัย  เป็นส่วนที่ยากที่สุดของพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง   เพราะเหตุว่าในขณะนี้เอง จิตของแต่ละบุคคลเกิดขึ้นเพียงขณะเดียว แล้วดับไปอย่างรวดเร็วทันที   ยังไม่มีใครประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปของจิตดวงที่ดับแล้ว หรือที่กำลังดับอยู่ในขณะนี้ เพราะเหตุว่ายังไม่ได้รู้ความจริงหรือความชัดเจตของจิตซึ่งเกิดแล้วดับเมื่อครู่นี้ เมื่อก่อนนี้ว่า เกิดขึ้นได้อย่างไร และมีอะไรเป็นปัจจัย แต่ว่าพระผู้มีพระภาค   แม้ว่าจิตจะเกิด – ดับอย่างรวดเร็ว คือ เพียงเกิดขึ้นขณะเดียวแล้วก็ดับไป ทรงตรัสรู้สภาพที่เป็นปัจจัย  ซึ่งทำให้จิตดวงนั้นเกิดขึ้น และทำให้จิตดวงต่อ ๆ ไป เกิดขึ้นด้วย

    เพราะฉะนั้นเรื่องของปัจจัยเป็นส่วนที่ยากที่สุด จึงได้ขอกล่าวถึงเรื่องของปัจจัยก่อน   เพราะเหตุว่าถ้าจะรอจนถึงปริจเฉทที่ ๘ ก็จะเป็นเวลาที่นานมากทีเดียว และสำหรับการที่จะกล่าวถึงปัจจัยในตอนต้นนี้ ก็จะไม่กล่าวถึงโดยละเอียด เพียงแต่จะแสดงความเป็นปัจจัยเท่าที่ท่านผู้ฟังจะสามารถพิจารณาได้เมื่อกล่าวถึงจิตและเจตสิกนั้น ๆ  เพราะเหตุว่าข้อความในอรรถกถามีว่า “แม้ว่าผู้นั้นจะมีอายุยืนยาวนานสักเท่าไรก็ตาม และพูดถึงแต่เฉพาะเรื่องของปัจจัยเรื่องเดียวนี้ตลอดชีวิตก็ยังไม่จบ” 

    เพราะฉะนั้นเรื่องของปัจจัยเป็นเรื่องที่จะแสดงให้เห็นความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมโดยละเอียด  แต่ว่าสำหรับในตอนต้นจะกล่าวถึงเพียงเพื่อให้เป็นปัจจัยให้รู้ในความเป็นอนัตตาของนามธรรมและรูปธรรมในชีวิตประจำวันเท่านั้น


    หมายเลข 3280
    29 ส.ค. 2558