อารัมมณาธิปติปัจจัย
สำหรับ “อารัมมณาธิปติปัจจัย” หมายความถึงสิ่งซึ่งเป็นที่พอใจอย่างยิ่งของจิต อารมณ์ที่มีกำลังที่ประทับใจ ที่ทำให้จิตพอใจ แล้วแสวงหาหรือปรารถนาอารมณ์นั้น อารมณ์นั้นเป็นอารัมมณาธิปติปัจจัยที่จะทำให้จิตนั้น ๆ เกิดขึ้น
นี่เป็นชีวิตประจำวันซึ่งตั้งแต่ลืมตาตื่น ยังไม่ทราบเลยว่า โลภะส่วนใหญ่ที่เกิดดับ เพราะฉะนั้นจะมากสักเท่าไรในวันหนึ่ง ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นจนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้ แต่เพราะไม่รู้ว่า ขณะนั้นเป็นโลภมูลจิต บางท่านก็เลยกล่าวว่า ท่านไม่มีโลภะ เพราะเหตุว่าอารมณ์ของโลภะที่ไม่มีกำลังนั้นไม่เป็นอารัมมณธิปติปัจจัย แต่ขณะใดก็ตามที่ท่านเกิดความรู้สึกว่า ท่านมีความพอใจมีความอยากได้ มีความต้องการ ในขณะนั้นให้ทราบว่า อารมณ์นั้นเป็นอารัมมณธิปติปัจจัย ทำให้จิตประทับใจ หรือว่าพึงพอใจ หรือว่าปรารถนาในอารมณ์นั้น ซึ่งในวันหนึ่ง ๆ มีแต่โลภะทั้งนั้น ก็ยังไม่รู้ จนกว่าอารมณ์นั้นจะเป็นอารมณ์ที่พอใจอย่างยิ่ง จึงจะรู้ว่าขณะนั้นเป็นโลภมูลจิต
เพราะฉะนั้นการที่จะรู้เรื่องสภาพของจิตใจในวันหนึ่ง ๆ ก็จะเห็นได้ว่า เป็นเรื่องที่ถ้าไม่ทรงแสดงเรื่องของปัจจัย ก็เป็นเรื่องที่รู้ยาก เพราะเหตุว่าโลภะมีหลายระดับ มีหลายขั้น โลภะบาง ๆ ซึ่งมีอยู่เป็นประจำ ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าเป็นโลภะ จนกว่าอารมณ์นั้นจะเป็นอารมณ์ ที่ปรารถนา ที่ต้องการอย่างยิ่ง จึงจะรู้ได้ว่า ขณะนั้นเป็นโลภะ
สำหรับโลภมูลจิตนี้มีมากในวันหนึ่งๆ จึงควรอย่างยิ่งที่จะได้รู้เรื่องของโลภะมากๆ และรู้ว่าโลภะนั้นปรารถนาในอารมณ์ใดบ้าง มิฉะนั้นแล้วก็ไม่สามารถที่จะละโลภะได้เลย
สำหรับอารมณ์ซึ่งเป็นอารมณ์ที่พอใจอย่างยิ่ง ที่เป็นอารัมณณาธิปติปัจจัย โดยนัยของจิตแล้ว ได้แก่ จิต ๘๔ ดวง เว้นจิตเพียง ๕ ดวงเท่านั้น คือ เว้นโทสมูลจิต ๒ ดวง โมหมูลจิต ๒ และทุกขกายวิญญาณ ๑ ดวง
นี่เป็นชีวิตประจำวันที่จะให้เห็นว่า โลภะเกิดมากเพียงใด มีท่านผู้ใดต้องการโทสมูลจิตบ้าง ไม่มี เพราะฉะนั้นโทสมูลจิตจึงไม่เป็นอารัมมณาธิปติปัจจัย
มีท่านผู้ใดต้องการโมหมูลจิตบ้าง ก็ไม่มีอีก เพราะฉะนั้นโมหมูลจิตจึงไม่เป็นอารัมมณาธิปติปัจจัย
มีท่านผู้ใดต้องการทุกขกายวิญญาณ คือ ความไม่สบายกาย ความป่วยไข้ ความปวดเมื่อย ความทุกข์ต่าง ๆ ทางกาย ก็ไม่มีใครปรารถนาอีก เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า สำหรับโทสมูลจิต ๒ ดวง โมหมูลจิต ๒ ดวง และทุกขกายวิญญาณ ๑ ดวง ไม่เป็นอารัมมณาธิปติปัจจัย
แต่สำหรับอารัมมณาธิปติปัจจัยนั้น ไม่ใช่เป็นปัจจัยให้เกิดโลภะอย่างเดียว ในชีวิตประจำวันบางท่านเป็นผู้ที่ฝักใฝ่ในกุศล เพราะฉะนั้นมหากุศลจิต ๘ ก็เป็นอารัมมณาธิปติปัจจัยให้เกิดกุศลก็ได้หรือว่าให้เกิดโลภะก็ได้
ชีวิตประจำวันของท่านผู้ฟังยังไม่ได้อบรมเจริญสมถะ ความสงบ จนกระทั่งฌานจิตเกิด ยังไม่มีรูปาวจรกุศล หรืออรูปาวจรกุศล ชีวิตประจำวันของท่านผู้ฟังก็จะมีกุศลจิตบ้าง หรืออกุศลจิตบ้าง ขณะใดที่ท่านปรารถนาพอใจในกุศล ขณะนั้นกุศลเป็นอารัมมณาธิปติปัจจัยได้ แต่ว่า แล้วแต่ว่าขณะนั้นจิตซึ่งมีกุศลเป็นอารมณ์จะเป็นมหากุศล หรือเป็นอกุศล
นี่เป็นความละเอียดอีก มิฉะนั้นแล้วท่านผู้ฟังจะไม่ทราบเลยว่า จิตของท่านในขณะนี้ เป็นกุศลหรืออกุศล ทุกท่านเคยให้ทาน เคยคิดถึงทานที่ให้ไปแล้วไหมคะ ตามความเป็นจริง นี่กำลังจะพูดถึงเรื่องปัจจัยที่เป็นอารัมมณาธิปติปัจจัย เคยใช่ไหม ในขณะที่ระลึกถึงทานที่ให้แล้ว ทราบไหมว่าจิตที่กำลังคิดถึงทานที่ได้กระทำแล้วนั้น จิตที่กำลังนึกถึงทานนั้นเป็นกุศลหรืออกุศล
การอบรมเจริญสติปัฏฐานเพื่อละอกุศล แต่ตราบใดที่ยังไม่รู้ว่า ขณะใดเป็นกุศลหรือขณะใดเป็นอกุศล ย่อมละอกุศลไม่ได้ การฟังธรรมเพื่อให้เกิดความเห็นถูกในสภาพธรรมตามความเป็นจริง เพื่อขัดเกลากิเลส เพื่อดับอกุศล เพราะฉะนั้นจึงต้องรู้จริง ๆ ว่า ขณะจิตในขณะนั้นเป็นกุศลหรืออกุศล ถ้านึกถึงทานแล้วมีความสำคัญตน ในขณะนั้นเป็นอกุศล มีความรู้สึกว่าเป็นทานของเรา หรือว่าเราสามารถจะกระทำทานได้อย่างประณีต ในขณะนั้นให้ทราบว่า แม้คิดถึงทานกุศลที่ได้กระทำแล้ว แต่จิตที่มีกุศลนั้นเป็นอารมณ์ก็ยังเป็นโลภมูลจิตได้
ถ้าไม่รู้อย่างนี้จะขัดเกลาไหมในขณะนั้น กำลังพอใจในกุศลของตนที่ได้กระทำแล้ว สติไม่ได้ระลึก จึงไม่รู้ว่า ในขณะนั้นเป็นอกุศลจิต เป็นโลภมูลจิต ประกอบด้วยความสำคัญตน ไม่ว่าจะเป็นไปในทาน หรือว่าเป็นไปในศีลก็ตาม
ท่านที่เป็นผู้รักษาศีล เคยมีความสำคัญตนว่า เราเป็นผู้มีศีล คนอื่นเป็นผู้ที่ทุศีล ในขณะนั้นแม้ระลึกถึงศีลของตน โลภมูลจิตก็เกิดได้ เพราะฉะนั้นเรื่องของโลภมูลจิตเป็นเรื่องที่มากจริง ๆ และถ้าไม่รู้ในความละเอียดของโลภมูลจิตแล้ว จะไม่ทราบเลยว่าในขณะนั้นเป็นอกุศลที่ควรละ เพราะเหตุว่าถึงแม้จะนึกถึงกุศลประเภทต่าง ๆ จิตที่นึกถึงกุศลประเภทนั้น ๆ ก็ยังเป็นอกุศลได้
สำหรับโลกียกุศลทั้งหมดเป็นปัจจัยให้เกิดโลภมูลจิตได้ และเป็นอารัมมณาธิปติปัจจัย ของกุศลจิตก็ได้ หรือของโลภมูลจิตได้ แต่สำหรับโลกุตตรกุศลไม่สามารถจะเป็นอารัมมณาธิปติปัจจัยของอกุศลได้
ท่านผู้ฟังเคยสังเกตชีวิตประจำวันของท่านไหมคะว่า อะไรเป็นอารัมมณาธิปติปัจจัย เป็นสิ่งที่ท่านพอใจอย่างยิ่ง สิ่งที่ท่านพอใจอย่างยิ่งในชีวิตประจำวัน เป็นกุศลหรืออกุศล
มีท่านผู้ฟังท่านหนึ่ง ท่านได้ฟังเรื่องของอารัมมณาธิปติปัจจัยแล้ว ท่านบอกว่าท่านไม่มีอารัมมณาธิปติปัจจัยที่เป็นกุศลเลย ท่านมีกุศลจิตจริง เกิดแล้วก็ดับไปแล้ว เวลาที่ระลึกถึงกุศลนั้น ๆ ก็เฉย ๆ ไม่เป็นเหตุให้กุศลที่ผ่องใสเกิดขึ้น แต่สำหรับทางฝ่ายอกุศล ท่านมีอารัมมณาธิปติปัจจัยทั้งนั้น เพราะเหตุว่าท่านเป็นผู้ที่ชอบดอกไม้ ต้นไม้ สัตว์ ชอบดูหนัง ชอบสนุกสนานรื่นเริง เพราะฉะนั้นในชีวิตประจำวันของท่านผู้นั้น อารัมมณาธิปติปัจจัยของท่านเป็นอกุศล แต่ว่ากุศลไม่ได้เป็นอารัมมณาธิปติปัจจัยของท่านเลย
ประโยชน์คือท่านผู้ฟังจะได้ทราบว่า ในวันหนึ่ง ๆ สิ่งซึ่งท่านติดและพอใจนั้นเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ถ้ารู้อย่างนี้ก็จะได้ละคลายทางฝ่ายอกุศล