สติระลึกรู้จิตเพื่อละ


    ข้อความต่อไปมีว่า

    ดูกร อานนท์ ในสมัยใดภิกษุย่อมสำเหนียกว่า เราจักกำหนดรู้จิต หายใจออก เราจักกำหนดรู้จิต หายใจเข้า

    ย่อมสำเหนียกว่า เราจักทำจิตให้บันเทิง หายใจออก เราจักทำจิตให้บันเทิงหายใจเข้า

    ย่อมสำเหนียกว่า เราจักทำจิตให้ตั้งมั่น หายใจออก เราจักทำจิตให้ตั้งมั่นหายใจเข้า

    ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเปลื้องจิต หายใจออก เราจักเปลื้องจิต หายใจเข้า

    สมัยนั้น ภิกษุย่อมเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเราไม่กล่าวซึ่งการเจริญสมาธิอันสัมปยุตต์ด้วยอานาปานสติสำหรับผู้มีสติหลง ไม่มีสัมปชัญญะ

    เพราะฉะนั้นแหละ อานนท์ สมัยนั้น ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้

    แม้จิต สติก็จะต้องระลึกรู้ เพื่อละการยึดถือจิตว่า เป็นตัวตน ในขณะที่หายใจออก หายใจเข้า

    ใน สมันตปาสาทิกา อรรถกถา พระวินัย มีข้อความอธิบายว่า

    บทว่า รู้แจ้งซึ่งปีตินั้น ก็คือ เมื่อปีติปรากฏ ขณะหายใจออก ขณะหายใจเข้า ในคำว่า รู้แจ้งปีตินั้น ปีติย่อมเป็นอันรู้แจ้งโดยอาการ ๒ อย่าง คือ โดยอารมณ์ ๑ และโดยไม่หลง ๑

    ที่ว่า ปีติ ย่อมเป็นอันรู้แจ้งโดยอารมณ์นั้นอย่างไร

    ในปฐมฌานก็ดี ในทุติยฌานก็ดี โดยจตุตถนัย อันเป็นไปกับด้วยปีติ ปีติย่อมเป็นอันภิกษุนั้น รู้แจ้งโดยอารมณ์

    คือ รู้ว่ามีปีติในขณะนั้น คนที่เจริญสมาธิไม่ใช่ว่าหลง ไม่ใช่ว่าขาดสติ ในขณะที่จิตจะเป็นปฐมฌาน มีองค์วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา ก็รู้ ไม่ใช่ว่าไม่รู้ รู้ลักษณะของสิ่งที่มีเกิดขึ้นในขณะนั้น เพราะฉะนั้น เมื่อมีปีติก็รู้ว่ามีปีติ นั่นเป็นอารมณ์อันภิกษุรู้แจ้งแล้ว

    ส่วนพยัญชนะที่ว่า ปีติ ย่อมเป็นอันภิกษุรู้แจ้ง โดยความไม่หลง อย่างไร

    คือ เมื่อออกจากฌานแล้ว พิจารณาปีติอันสัมปยุตต์ด้วยฌาน โดยความสิ้นไป โดยความเสื่อมไป ปีติย่อมเป็นอันภิกษุนั้นรู้แจ้งโดยความไม่หลง ด้วยการแทงตลอดลักษณะ ในขณะแห่งวิปัสสนา

    ปฐมฌาน เกิดแล้วดับไหม ธรรมชาติของสังขารธรรมทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นจิตประเภทใดก็ตาม เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ถ้าปฐมฌานนั้นเกิดติดต่อกันนาน ก็มีการเกิดดับๆ สืบเนื่องติดต่อกันนาน แต่ว่าขณะสติระลึกรู้ลักษณะของปีติที่เกิดกับปฐมฌาน แล้วแทงตลอดในความเสื่อมไปความสิ้นไป คือ ปีตินั้นเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป นั่นชื่อว่า โดยความไม่หลง ชื่อว่า ปีติย่อมเป็นอันภิกษุนั้นรู้แจ้งโดยความไม่หลง ด้วยการแทงตลอดลักษณะ ในขณะแห่งวิปัสสนา แยกเห็นไหมว่า โดยนัยของการเจริญสมถะเป็นอย่างไร โดยนัยของการรู้แจ้งปีติ ในการเจริญวิปัสสนานั้นเป็นอย่างไร

    พยัญชนะที่ว่า ในบท รู้แจ้งซึ่งสุข รู้แจ้งซึ่งจิตสังขาร มีข้อแปลกกัน คือ รู้แจ้งสุขด้วยฌาน ๓ โดยจตุตถนัย รู้แจ้งซึ่งจิตสังขารด้วยสามารถแห่งฌานทั้ง ๔ เพราะฉะนั้น จตุกะนี้โดยนัยของเวทนานุปัสสนา เพราะเหตุว่าเวทนาก็เป็นจิตสังขาร

    ที่ว่า รู้แจ้งปีติ รู้แจ้งสุข รู้แจ้งจิตสังขารนั้น เป็นเรื่องการรู้ลักษณะของเวทนา

    ส่วนพยัญชนะที่ว่า ยังจิตให้บันเทิง หายใจออก หายใจเข้า เป็นเรื่องของ จิตตานุปัสสนา

    ในขณะที่หายใจออก จิตมีลักษณะอย่างไร ในขณะที่หายใจเข้า จิตมีลักษณะอย่างไร ผู้ที่เจริญสติจะต้องพิจารณารู้ด้วยในขณะนั้น

    ที่ว่า ยังจิตให้บันเทิง บันเทิง คือ เบิกบาน มีความผ่องใส มีความเบิกบาน และความเบิกบานของจิตที่หายใจออก ที่หายใจเข้านั้น ก็มีโดยอาการ ๒ อย่าง คือ ด้วยสามารถแห่งสมาธิ ๑ และด้วยสามารถแห่งวิปัสสนา ๑

    ที่ว่าเบิกบานด้วยสมาธินั้น คือ ภิกษุเข้าปฐมฌาน ทุติยฌาน โดยจตุตถนัย อันเป็นไปกับปีติ ย่อมยังจิตให้บันเทิงทั่ว คือ ย่อมให้ปราโมทย์ด้วยปีติอันสัมปยุตต์ ในขณะแห่งสมาบัติ

    เวลาที่เป็นปฐมฌาน ทุติยฌาน จิตใจก็บันเทิง เพราะว่ามีปีติเกิดร่วมด้วย มีเหตุปัจจัยยังจิตให้บันเทิง


    หมายเลข 3088
    24 ก.ย. 2566