อานาปานบรรพ กับ การระลึกรู้นามรูป


    เพราะฉะนั้น โดยอานาปานบรรพนี้ไม่ใช่ให้รู้เฉพาะลม ไม่ว่าจะเป็นนามรูปอื่นที่เกิดเนื่องจากลม สติก็จะต้องระลึกรู้ เพื่อละการยึดถือว่าเป็นตัวตน เพราะจะพบข้อความของอานาปานสติสมาธิว่า เจริญอย่างไรจึงจะมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ไม่ใช่เพียงขั้นบรรลุอุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ไม่ใช่เพียงขั้นนั้น ขั้นที่จะมีผลมากมีอานิสงส์มาก คือ สติจะต้องระลึกรู้ลักษณะของนามรูปที่เนื่องกับลมหายใจ และก็รู้ความไม่เที่ยง แล้วละคลายการยึดถือว่าเป็นตัวตนด้วย

    ที่จะทราบได้จริงๆ ระลึกเอง ถ้าลมหายใจกระทบแรง ร้อนมาก ก็เรียกว่าหยาบ ถ้าไม่แรงแล้วก็มีลักษณะอ่อนหรือว่าเย็นหรือว่าร้อนที่ปรากฏเพียงนิดหน่อยก็เรียกว่าละเอียดขึ้นๆ วิ่งเหนื่อยๆ ลมหายใจเป็นอย่างไร ไม่เหมือนเดี๋ยวนี้ใช่ไหม นั่นแหละคือหยาบ ปรากฏชัด แต่ว่าเวลาที่จิตสงบขึ้นๆ ก็ยิ่งละเอียดขึ้นๆ รู้ยากขึ้น ความจริงก็พอจะเป็นที่สังเกตได้เรื่องลมหายใจเพราะว่าเกิดจากจิต แต่แล้วแต่ว่าลักษณะใดจะปรากฏ ถ้าลมหายใจไม่ปรากฏ แต่สีปรากฏ กลิ่นปรากฏ ก็ให้สติระลึกรู้สิ่งที่เกิดแล้วปรากฏเพราะเหตุปัจจัย ถ้าเคยสะสมอบรมมา ลมหายใจปรากฏกับท่านได้ เหมือนสีก็ปรากฏทางตาได้ เสียงก็ปรากฏทางหูได้ เย็นร้อนอ่อนแข็งที่มีอยู่ในกายก็ปรากฏได้ ลมหายใจก็ประกอบด้วยดินน้ำไฟลม ถ้าเคยสะสมอบรมมาที่จะให้รู้ลักษณะของรูปที่เป็นลมหายใจ ไม่ต้องแสวงหาโดยการเจริญสติปัฏฐาน สิ่งนั้นปรากฏได้ เพราะเห็นว่าที่กายก็มีรูปตั้ง ๒๗ รูป แล้วแต่ว่ารูปใดจะปรากฏกับผู้ใด แต่ไม่ใช่โดยลักษณะที่จงใจจะให้ปรากฏ


    หมายเลข 3086
    24 ก.ย. 2566