ติลมุฏฐิชาดก ตอนที่ ๒


    ตรัสเรียกอำมาตย์ทั้งหลายมาว่า แน่ะผู้เจริญ ที่ที่อาจารย์เฆี่ยนยังเสียดแทงเราอยู่จนทุกวันนี้

    นี่คือความผูกโกรธ หลายปีก็ยังคิดถึงได้

    อาจารย์บากหน้าพาเอาความตายมาโดยไม่รู้ว่า จักตายวันนี้ อาจารย์ผู้นั้น จะไม่มีชีวิตแล้ว จึงได้ตรัสคาถา ๒ คาถา อันมีในเบื้องต้นว่า

    การที่ท่านให้จับแขนเราไว้ แล้วเฆี่ยนตีเราด้วยซีกไม้ไผ่ เพราะเหตุเมล็ดงา กำมือหนึ่งนั้น ยังฝังใจเราอยู่จนทุกวันนี้

    ดูก่อนพราหมณ์ ท่านไม่ใยดีในชีวิตของท่านแล้วหรือ จึงมาหาเราถึงที่นี่ ผลที่ท่านให้จับแขนทั้งสองของเราแล้วเฆี่ยนตีเราถึง ๓ ทีนั้น จักสนองท่านในวันนี้

    อาจารย์ได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า

    อริยชนใดย่อมเกียดกันอนารยชน ผู้กระทำชั่วด้วยการลงโทษ กรรมของอริยชนนั้นเป็นการสั่งสอน หาใช่เป็นเวรไม่ บัณฑิตทั้งหลายย่อมรู้ชัดข้อนั้นอย่างนี้แล

    แสดงให้เห็นถึงเจตนาของผู้กระทำว่า ทำด้วยความหวังดี ไม่ใช่ทำด้วยความหวังร้าย เพราะฉะนั้น ก็ควรจะเข้าใจเจตนาดีของผู้นั้นด้วย

    คำอธิบายความหมายของอริยชนมีว่า

    ก็อริยชนนี้นั้นมี ๔ ประเภท คือ อาจารอริยชน อริยชนผู้มีอาจาระ (คือ กิริยามารยาท) ๑ ทัสสนอริยชน อริยชนที่ควรแลดู ๑ ลิงคอริยชน อริยชน ผู้ถือเพศ ๑ ปฏิเวธอริยชน อริยชนผู้รู้แจ้งแทงตลอด ๑

    ในอริยชน ๔ ประเภทนั้น อริยชนผู้ตั้งอยู่ในมารยาทอันประเสริฐ จะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ดิรัจฉานก็ตาม ชื่อว่าอาจารอริยชน

    สัตว์ดิรัจฉานที่มีมารยาทเคยเห็นไหม

    มีท่านผู้หนึ่งเล่าให้ฟังว่า สุนัขที่บ้านท่านเรียบร้อยจริงๆ เวลาจะรับประทานอาหารก็แสนจะช้า มีอาหารตั้งอยู่ตรงหน้าก็ยังไม่ยอมรับประทาน ยังกับจะพิจารณาก่อนกระนั้น เหมือนกับพระภิกษุที่ท่านพิจารณาอาหาร คือ ไม่ใช่เปรียบกับพระภิกษุ แต่หมายถึงกิริยาอาการ ความเรียบร้อย มารยาท แสดงให้เห็นความต่างกันแม้เป็น สัตว์ดิรัจฉาน ซึ่งบางตัวไม่เป็นอย่างนั้นเลย ตรงกันข้ามทีเดียว

    ส่วนอริยชนผู้ประกอบด้วยรูปและอิริยาบถอันน่าเลื่อมใส น่าดู (สง่าผ่าเผย) ชื่อว่าทัสสนอริยชน …

    อริยชนผู้เป็นคล้ายสมณะ โดยถือเพศด้วยการนุ่งห่มเที่ยวไปอยู่ แม้จะเป็น ผู้ทุศีล ก็ชื่อว่าลิงคอริยชน ...

    ฝ่ายพระอริยบุคคลทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ชื่อว่าปฏิเวธอริยชน ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพุทธสาวกทั้งหลาย เรียกว่า พระอริยะ

    บรรดาอริยชนเหล่านั้น ในที่นี้ พราหมณ์ประสงค์เอาอาจารอริยชนอย่างเดียว

    ข้อความต่อไป

    อาจารย์ทูลว่า

    ข้าแต่มหาราช ชื่อว่าการเฆี่ยนตี กีดกันบุตรธิดาหรือศิษย์ผู้กระทำ สิ่งไม่ควรทำด้วยอาการอย่างนี้ เป็นการสั่งสอนในโลกนี้ คือ เป็นการพร่ำสอน เป็นโอวาท หาใช่เป็นการก่อเวรไม่ บัณฑิตทั้งหลายย่อมรู้ชัดข้อนั้นอย่างนี้ทีเดียว

    ข้าแต่มหาราช เพราะฉะนั้น แม้พระองค์ก็โปรดทรงทราบอย่างนี้ พระองค์ ไม่ควรก่อเวรในฐานะเห็นปานนี้ ถ้าแม้ข้าพระองค์จักไม่ได้ให้พระองค์ทรงสำเหนียกอย่างนี้แล้ว ต่อไปภายหน้า พระองค์ลักขนม น้ำตาลกรวด และผลไม้เป็นต้น ติดในโจรกรรมทั้งหลาย จะทำการตัดช่องย่องเบา ฆ่าคนในหนทางและฆ่าชาวบ้าน เป็นต้นโดยลำดับ ถูกจับพร้อมทั้งของกล่าวว่า โจรผู้ผิดต่อพระราชา แล้วแสดงต่อพระราชา จักได้รับภัยคืออาญา โดยพระดำรัสว่า พวกท่านจงไปลงอาญาอันสมควร แก่โทษของโจรนี้ สมบัติเห็นปานนี้จักได้มีแก่พระองค์มาแต่ไหน พระองค์ได้ความ เป็นใหญ่โดยเรียบร้อย เพราะอาศัยข้าพระองค์มิใช่หรือ

    อาจารย์ได้ทำให้พระราชายินยอม ด้วยประการดังกล่าวมานี้

    ฝ่ายอำมาตย์ทั้งหลายผู้ยืนห้อมล้อมอยู่ ได้ฟังถ้อยคำของอาจารย์นั้นแล้ว จึงกราบทูลว่า ขอเดชะ คำที่อาจารย์กล่าวนั้นเป็นความจริง ความเป็นใหญ่นี้เป็นของ ท่านอาจารย์ของพระองค์

    เพราะว่าอาจารย์สั่งสอน เฆี่ยนตี ทำให้พระราชามีความประพฤติที่ดี

    ขณะนั้นพระราชาทรงกำหนดได้ถึงคุณของอาจารย์จึงกล่าวว่า ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าให้ความเป็นใหญ่นี้แก่ท่าน ขอท่านจงรับราชสมบัติเถิด

    อาจารย์ปฏิเสธว่า ข้าพระองค์ไม่ต้องการราชสมบัติ

    พระราชาทรงส่งข่าวไปยังเมืองตักศิลา ให้นำบุตรและภรรยาของอาจารย์มา แล้วประทานอิสริยยศใหญ่ ทรงตั้งอาจารย์นั้นให้เป็นปุโรหิต แล้วตั้งไว้ในฐานเป็นบิดา ตั้งอยู่ในโอวาทของอาจารย์นั้น บำเพ็ญบุญทั้งหลายมีทานเป็นต้น ได้มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า

    พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศอริยสัจจ์ ๔ ทรงประชุมชาดก ในเวลาจบอริยสัจจ์ ภิกษุผู้มักโกรธดำรงในอนาคามิผล คนอื่นๆ ได้เป็นพระโสดาบัน และพระสกทาคามี

    พระราชาในคราวนั้น ได้เป็นภิกษุผู้มักโกรธในบัดนี้ ส่วนอาจารย์ในคราวนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล

    เพราะฉะนั้น ถ้ามีความหวังดี มีความมั่นคง มีความมั่นใจในสิ่งที่จะทำว่า เป็นประโยชน์ ก็ทำ เพราะว่าไม่ได้กระทำด้วยอกุศลจิต และจะเห็นได้ว่า พระราชา ในครั้งนั้นซึ่งเป็นภิกษุผู้มักโกรธในบัดนี้ เมื่อจบเทศนาดำรงอยู่ในอนาคามิผล เพราะว่าเป็นผู้ที่ว่าง่าย ฟังแล้วรู้ว่า อะไรถูก อะไรผิด อะไรควร


    หมายเลข 2657
    16 ต.ค. 2566