ทานสูตรที่ ๑ ทาน ๘ ประการ
ในพระไตรปิฎก อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต ทานสูตรที่ ๑ มีว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ทาน ๘ ประการนี้ ๘ ประการเป็นไฉน คือ
บางคนเตรียมไว้ให้ทาน ๑
บางคนให้ทานเพราะกลัว ๑
บางคนให้ทานเพราะนึกว่า เขาให้แก่เราแล้ว ๑
บางคนให้ทานเพราะนึกว่า เขาจักให้ตอบแทน ๑
บางคนให้ทานเพราะนึกว่า ทานเป็นการดี ๑
บางคนให้ทานเพราะนึกว่า เราหุงหากิน ชนเหล่านี้หุงหากินไม่ได้ เราหุงหากินได้ จะไม่ให้ทานแก่ชนเหล่านี้ผู้ไม่หุงหากิน ไม่สมควร ๑
บางคนให้ทานเพราะนึกว่า เมื่อเราให้ทาน กิตติศัพท์อันงามย่อมฟุ้งไป ๑
บางคนให้ทานเพื่อประดับปรุงแต่งจิต ๑
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ทาน ๘ ประการนี้แล
ท่านที่เคยให้ทานมาแล้ว เป็นไปในลักษณะใดบ้างใน ๘ อย่างนี้
มโนรถปูรณี อรรถกถา อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต มีคำอธิบายว่า
การให้ทานประการที่ ๑
บางท่านนั้นเป็นผู้ที่ตระเตรียมไว้พร้อมที่จะให้ทาน มีอุปนิสัยที่ได้สะสมมาในการที่จะระลึกถึงบุคคลอื่น ในการที่จะสละวัตถุที่ท่านมี จะมากหรือจะน้อยก็ตาม แต่เป็นผู้พร้อมที่จะให้ได้ เวลาที่มีผู้ที่สมควรแก่การรับ ท่านก็ไม่ลำบากใจ ไม่วุ่นวายใจ เพราะเหตุว่าท่านยังไม่ได้ตระเตรียมวัตถุที่จะให้ไว้
อย่างเช่น บางท่านอาจจะเตรียมน้ำไว้สำหรับคนเดินทางที่หิวกระหายมา เตรียมอาหาร เตรียมขนม เตรียมเสื้อผ้า ของใช้ ซึ่งพร้อมที่จะอุปการะเกื้อกูลกับบุคคลอื่น ซึ่งสมควรแก่การที่จะได้รับการเกื้อกูลนั้นๆ นี่เป็นท่านที่เตรียมไว้ให้ทาน
ประการที่ ๒ คือ บางคนให้ทานเพราะกลัว
ไม่ได้หมายความว่าให้ อย่างโจรผู้ร้ายมาขู่เข็ญไป อย่างนั้นไม่ใช่ทาน เพราะไม่มีเจตนาให้
สำหรับทาน ถ้ากล่าวถึงสภาพธรรมได้แก่ เจตนาที่เป็นเหตุให้ ชื่อว่า ทาน ถ้าให้โดยไม่มีเจตนา ตกไป หายไป จะกล่าวว่าเป็นทานได้ไหม ไม่ได้ ไม่มีเจตนาที่จะให้ เจตนาเป็นเจตสิกธรรมชนิดหนึ่ง เป็นความจงใจ เป็นความตั้งใจ เพราะ ฉะนั้น เจตนาที่เป็นเหตุให้นั้น ชื่อว่า ทาน
ทานมีความหมาย ๓ อย่าง คือ
จาคเจตนา เจตนาให้ ๑
วิรัติ คือ เจตนาเว้นทุจริต ซึ่งได้แก่ศีล เป็นอภัยทานทั้งหมด ๑
และมุ่งหมายถึงไทยธรรม คือ วัตถุที่ให้ มีข้าว น้ำ เป็นต้น ๑
แต่สำหรับเรื่องของบุญกิริยา ที่กล่าวถึงทานนั้นมุ่งหมาย จาคเจตนา คือ เจตนาให้วัตถุเป็นทาน
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าของหายไป ตกหล่นไปก็จะเป็นทาน หรือว่า ถูกข่มขู่ก็ให้ไป แล้วกล่าวว่าเป็นทานก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ที่เป็นทานเพราะบางคนนั้นให้ทานเพราะกลัว กลัวในที่นี้ หมายความถึงกลัวครหา กลัวว่าจะเสื่อมเสียชื่อเสียงว่า ผู้นี้ไม่ใช่ทายก ผู้นี้ไม่ใช่ผู้ให้ บางคนกลัวอย่างนั้นจึงให้ ก็เป็นเจตนาให้เหมือนกัน แต่ว่าให้เพราะอะไร สภาพธรรมที่เกิดปรากฏเป็นของจริงในขณะนั้น ก็เป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง จะเพราะกลัวครหา กลัวว่าจะเป็นที่ติเตียนว่าไม่ใช่ทายก ไม่ใช่ผู้ให้จึงได้ให้ แต่การให้นั้น คนอื่นไม่สามารถจะรู้ได้ แต่ผู้ที่เจริญสติรู้ได้ ขณะนั้นก็เป็นแต่เพียงนามธรรมชนิดหนึ่ง
ประการที่ ๓ คือ บางคนให้ทานเพราะนึกว่า เขาให้แก่เราแล้ว
การให้มีหลายลักษณะ บางทีให้ด้วยคิดว่า เมื่อก่อนนี้ผู้นี้ได้ให้สิ่งนี้แก่เราก่อน จึงให้เป็นการตอบแทน การให้เป็นเรื่องดี แต่ถ้าคนนั้นไม่เคยให้อะไรเราเลย เราจะไม่ให้เขาอย่างนั้นหรือ เป็นเรื่องของแต่ละคน เพราะจิตของท่านสะสมมาที่จะคิดจะนึกอย่างไร ห้ามไม่ได้ แต่สติสามารถระลึกรู้ลักษณะของการให้ว่า ขณะที่ให้ไปในแต่ละครั้งนั้น เป็นเพราะเหตุใด
การที่ให้เพราะว่าผู้นั้นเคยให้สิ่งนั้นแก่เราก่อน ก็เป็นการดี ถูกต้อง เป็นเรื่องของความกตัญญูกตเวที แต่อย่าให้เพราะความจำใจ ที่จำเป็นต้องให้ เพราะว่าผู้นั้นเคยให้ก่อน
ประการที่ ๔ คือ บางคนให้ทานเพราะนึกว่า เขาจักให้ตอบแทน
ให้เขาก่อนแล้วเขาจักให้เราบ้าง อย่างนี้ไม่ดี เพราะหวังผลตอบแทน ถ้าคิดอย่างนี้ขึ้นมา ยับยั้งได้ไหม ไม่ได้ แต่สติระลึกรู้ว่า แม้การคิดอย่างนั้น ก็เป็นแต่เพียงนามธรรมชนิดหนึ่ง
ประการที่ ๕ คือ บางคนให้ทานเพราะนึกว่า ทานเป็นการดี
มีการอบรมสั่งสอนกุลบุตร กุลธิดาตั้งแต่เด็กให้สละวัตถุ เพื่อไม่ให้ติดข้อง ไม่ให้ตระหนี่ ให้เกื้อกูลกันสำหรับสัตว์โลกที่เกิดมาร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน เมื่อมีการสอน มีการอบรมว่า สิ่งใดดี สิ่งนั้นก็ควรประพฤติปฏิบัติตาม บางท่านจึงให้ทาน เพราะนึกว่าทานเป็นการดี
ประการที่ ๖ คือ บางคนให้ทานเพราะนึกว่า เราหุงหากิน ชนเหล่านี้หุงหากินไม่ได้ เราหุงหากินได้ จะไม่ให้ทานแก่ชนเหล่านี้ ผู้ไม่หุงหากิน ไม่สมควร
นี่เป็นการเอื้อเฟื้อ
ประการที่ ๗ คือ บุคคลให้ทานเพราะนึกว่า เมื่อเราให้ทาน กิตติศัพท์อันงามย่อมฟุ้งไป
อยากได้อะไรหรือเปล่าจึงได้ให้ ตราบใดที่ตัวตนยังไม่หมด ก็ยังมีการยึดถืออย่างเหนียวแน่น ซึ่งจะขัดเกลาให้หมด คลายลงไปได้ก็ด้วยการเจริญสติ
ประการที่ ๘ คือ บางคนให้ทานเพื่อประดับปรุงแต่งจิต
มโนรถปูรณี อรรถกถา อังคุตตรนิกาย มีข้อความว่า
การปรุงแต่งจิตนั้นก็เพื่อเป็นเครื่องประกอบให้จิตใจสะอาด เพื่อสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา เพราะเหตุว่าทานนั้นทำให้จิตอ่อนโยน ผู้ใดได้ให้ทานแล้ว ผู้นั้นก็มีจิตอ่อนโยนว่า เราได้ให้ทานแล้ว ผู้ใดได้รับทานแล้ว ผู้นั้นก็มีจิตอ่อนโยนว่า ทานเราได้รับแล้ว ทำให้มีจิตอ่อนโยนทั้งผู้ให้และผู้รับ
สำหรับทานที่จะปรุงแต่งจิต เพื่อเจริญความสงบ เพื่อสมถภาวนา เป็น จาคานุสติที่ได้ให้ทาน ซึ่งเป็นกุศลกรรม เมื่อจิตน้อมระลึกถึงทานที่สละให้ไปแล้ว ก็เป็นปัจจัยทำให้จิตสงบจากอกุศล และถ้าน้อมระลึกถึงบ่อยๆ ก็ทำให้จิตสงบเป็นสมาธิ นั่นเป็นการปรุงแต่งจิตใจให้สงบ เพื่อเจริญความสงบของจิตเป็นสมถภาวนา และเพื่อเจริญวิปัสสนา
การยึดถือนามรูปว่าเป็นตัวตน หนาแน่นเหนียวแน่นมาก ถ้าไม่เจริญกุศลทุกประการ ย่อมยากที่จะให้สติระลึกรู้ลักษณะของนามและรูป แต่ถ้าเจริญกุศลทุกประการอยู่แล้ว ก็เป็นการขัดเกลา ละเว้นอกุศลจิต อกุศลธรรม เป็นปัจจัยให้สติระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมบ่อยๆ เนืองๆ แม้ในขณะที่กำลังให้ ก็เจริญสติปัฏฐาน
ที่มา ...
