ทานวัตถุสูตร


    ในพระไตรปิฎกแสดง การให้ ไว้หลายลักษณะ ซึ่งจะขอกล่าวถึงเพียงบางพระสูตร

    อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต ทานวัตถุสูตร มีข้อความว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ทานวัตถุ ๘ ประการนี้ ๘ ประการเป็นไฉน คือ

    บางคนให้ทานเพราะชอบพอกัน ๑

    บางคนให้ทานเพราะโกรธ ๑

    บางคนให้ทานเพราะหลง ๑

    บางคนให้ทานเพราะกลัว ๑

    บางคนให้ทานเพราะนึกว่า บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย เคยให้มา เคยทำมา เราไม่ควรให้เสียวงศ์ตระกูลดั้งเดิม ๑

    บางคนให้ทานเพราะนึกว่า เราให้ทานนี้แล้ว เมื่อตายไป จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ๑

    บางคนให้ทานเพราะนึกว่า เมื่อเราให้ทานนี้ จิตใจย่อมเลื่อมใส ความเบิกบานใจ ความดีใจ ย่อมเกิดตามลำดับ ๑

    บางคนให้ทานเพื่อประดับปรุงแต่งจิต ๑

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ทานวัตถุ ๘ ประการ นี้แล

    ซึ่งใน มโนรถปูรณี อรรถกถา อังคุตตรนิกาย ได้อธิบายว่า

    ประการที่ ๑ บางคนให้ทานเพราะชอบพอกัน

    โดยฐานะที่ว่า เป็นมิตรสหาย เป็นหมู่คณะ เป็นพวกเป็นพ้อง จึงได้ให้ ไม่ได้มุ่งประโยชน์ของการให้ แต่เป็นเพราะเหตุว่าชอบพอกัน เป็นมิตรสหายกัน

    ประการที่ ๒ บางคนให้ทานเพราะโกรธ

    เป็นไปได้ไหม ในอรรถกถากล่าวว่า คนโกรธแล้ว สิ่งใดมีอยู่ ก็รีบจับส่งสิ่งนั้นให้ไปเลย ถ้าเป็นการให้ที่ไม่มีความโกรธ ก็คงจะให้ด้วยความนอบน้อม ด้วยความเคารพ

    ประการที่ ๓ บางคนให้เพราะหลง

    ความว่า เป็นผู้หลงไปเพราะโมหะ เพราะไม่มีความเข้าใจอย่างถูกต้อง ไม่รู้ว่าสิ่งที่ให้ไปแล้วนั้นจะเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ ความเข้าใจผิดในพระธรรมวินัยมี แทนที่จะเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่พระศาสนา ก็อาจจะไปส่งเสริมให้เกิดความเข้าใจผิดยิ่งขึ้นก็เป็นได้

    ประการที่ ๔ บางคนให้เพราะกลัว

    คือ กลัวครหา กลัวเสื่อมเสียชื่อเสียงว่า ถ้าไม่ให้แล้วจะเป็นโทษ ไม่เป็นที่เคารพนับถือของบุคคลอื่น หรือเป็นที่ตำหนิติเตียนของบุคคลอื่นได้ หรือเพราะกลัวอบายภูมิ

    ประการที่ ๕ บางคนให้เพราะนึกว่า ไม่ให้เสียวงศ์ตระกูล

    กล่าวคือ เป็นประเพณีของตระกูล จึงให้

    ประการที่ ๖ บางคนให้เพราะนึกว่า เราให้ทานนี้แล้ว เมื่อตายไป จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์

    มุ่งหมายเพียงเท่านั้นเอง ต้องการผล คือ ได้รับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ที่ดีๆ

    ประการที่ ๗ บางคนให้ทานเพราะนึกว่า เมื่อเราให้ทานนี้ จิตใจย่อมเลื่อมใส ความเบิกบานใจ ความดีใจ ย่อมเกิดตามลำดับ

    ยังมีความเป็นตัวตน ยังอยากให้ตัวตนนี้สบายใจ บางคนพอเกิดไม่สบายใจ กลุ้มใจ ก็ให้ทานเพื่อให้ใจสบาย แต่ไม่ได้รู้ลักษณะของนามธรรมของรูปธรรม

    เพราะฉะนั้น จึงกล่าวว่า ผู้ที่ประพฤติธรรมสม่ำเสมอ คือ เป็นผู้ที่สมบูรณ์ด้วยคุณธรรม มีศรัทธา เป็นต้น ถึงแม้ว่าผู้นั้นจะมีของน้อยก็ให้ได้ ซึ่งทานของบุคคลอื่นนั้น ย่อมไม่เทียมเท่า เพราะที่ทานจะมีผลน้อยหรือมีผลมากนั้น ก็เพราะความบังเกิดขึ้นแห่งทาน ถ้าความบังเกิดขึ้นแห่งทานไม่บริสุทธิ์ ผลของทานก็น้อย แต่ถ้าท่านผู้นั้นประพฤติธรรมสม่ำเสมอ ถึงแม้ท่านจะมีของน้อยที่ท่านให้ได้ แต่ความประพฤติธรรมสม่ำเสมอทำให้ทานนั้น มีอานิสงส์มาก มีผลมาก

    อย่างท่านที่เจริญสติเป็นปกติ เวลาที่ให้ทาน สติก็ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมของรูปธรรม ผลและอานิสงส์ คือ ดับทุกข์ทั้งปวง ดับภพ ดับชาติ ดับการยึดถือในขณะที่ให้นั้นว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน ซึ่งดีกว่าการที่จะไปหวังสุคติโลกสวรรค์ และผลของทานประการอื่นๆ

    ขอกล่าวถึง อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต ทานสูตร เพื่อให้พิจารณาผลและอานิสงส์ของทาน

    ท่านเคยให้ทานมาแล้ว ทานในอดีตที่จะให้ผล จะให้ผลอย่างไร ให้อานิสงส์อย่างไร และเมื่อเข้าใจธรรมและสติปัฏฐานที่ควรเจริญมากขึ้นแล้ว ผลของทานการให้นั้น จะต่างกับในครั้งก่อนอย่างไร

    อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต ทานสูตร มีข้อความว่า

    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ฝั่งสระโบกขรณี ชื่อคัคครา ใกล้จัมปานคร ครั้งนั้นแล อุบาสกชาวเมืองจัมปามากด้วยกัน เข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่ อภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กล่าวกะท่านพระสารีบุตรว่า

    ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ธรรมีกถาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาค พวกกระผมได้ฟังมานานแล้ว ขอได้โปรดเถิด พวกกระผมพึงได้ฟังธรรมีกถาของพระผู้มีพระภาค

    ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า

    ดูกร ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้นท่านทั้งหลายพึงมาในวันอุโบสถ ท่านทั้งหลายพึงได้ฟังธรรมีกถาในสำนักพระผู้มีพระภาคแน่นอน

    อุบาสกชาวเมืองจัมปารับคำท่านพระสารีบุตรแล้ว ลุกจากที่นั่ง อภิวาท กระทำประทักษิณแล้วหลีกไป ต่อมาถึงวันอุโบสถ อุบาสกชาวเมืองจัมปาพากันเข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่ อภิวาทแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

    ลำดับนั้น ท่านพระสารีบุตรพร้อมด้วยอุบาสกชาวเมืองจัมปา เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า

    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทานเช่นนั้นนั่นแลที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก พึงมีหรือหนอแล และทานเช่นนั้นแลที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก พึงมีหรือพระเจ้าข้า

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร สารีบุตร ทานเช่นนั้นนั่นแลที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก พึงมี และทานเช่นนั้นนั่นแลที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก พึงมี

    โดยมากพยัญชนะที่ท่านจะได้ยินได้ฟัง คือ คำว่าผล กับคำว่า อานิสงส์ ซึ่งทั้งสองคำนี้มีความหมายอย่างเดียวกัน เป็นคำที่ใช้แทนกันได้ในที่ทั่วไป แต่เวลาที่พูดถึงความบริสุทธิ์ของจิต หรือความบริสุทธิ์ของธรรม ในพระสูตรนี้ได้แยกความหมายของคำว่า ผล กับคำว่า อานิสงส์ เพราะฉะนั้น ทุกท่านจะได้พิจารณาว่า ทานที่ท่านได้กระทำแล้ว จะเป็นทานประเภทที่มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก หรือว่ามีผลมาก และมีอานิสงส์มาก

    ท่านพระสารีบุตรกราบทูลว่า

    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัย เครื่องให้ทานเช่นนั้นแลที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก

    อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัย เครื่องให้ทานเช่นนั้นนั่นแลที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก

    ท่านพระสารีบุตรเป็นอัครสาวกผู้เลิศในทางปัญญา แต่แม้กระนั้นในเรื่องความลึกซึ้ง ความละเอียด ความวิจิตรของธรรม ท่านพระสารีบุตรก็กราบทูลถามพระผู้มีพระภาค เพื่อให้ทรงพยากรณ์ไว้เป็นการแน่นอนและแจ่มแจ้ง ไม่ใช่คิดเอง

    พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า

    ดูกร สารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังมีความหวังให้ทาน มีจิตผูกพันในผลให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปแล้ว จักได้เสวยผลทานนี้ เขาให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีปและเครื่องอุปกรณ์ แก่สมณะหรือพราหมณ์

    ดูกร สารีบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้พึงให้ทานเห็นปานนี้หรือ

    ท่านพระสารีบุตรกราบทูลว่า

    อย่างนั้น พระเจ้าข้า

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร สารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลมีความหวังให้ทาน มีจิตผูกพันในผลให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่า ตายไปแล้วจะได้เสวยผลทานนี้ เขาผู้นั้นให้ทานนั้นแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นจาตุมหาราช สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้อีก

    ดูกร สารีบุตร ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่มีหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งหวังการสั่งสมให้ทาน ไม่คิดว่า ตายไปแล้วจะได้เสวยผลทานนี้แล้วให้ทาน แต่ให้ทานด้วยคิดว่า ทานเป็นการดี เขาให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีป และเครื่องอุปกรณ์แก่สมณะหรือพราหมณ์

    ดูกร สารีบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ พึงให้ทานเห็นปานนี้หรือ

    ท่านพระสารีบุตรกราบทูลว่า

    อย่างนั้นพระเจ้าข้า

    พระผู้มีพระภาคตรัสต่อไปถึงผลของทานของบุคคล ซึ่งให้ทานโดยไม่หวังผล มีข้อความว่า

    ดูกร สารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลไม่มีหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า ตายไปแล้วจะได้เสวยผลทานนี้ แต่ให้ทานด้วยคิดว่า ทานเป็นการดี เขาผู้นั้นให้ทานนั้นแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดาวดึงส์ เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้

    แม้จะไปเกิดวนเวียนอยู่ในสวรรค์ เทวโลกชั้นต่างๆ ก็ตาม แต่ถ้าไม่พ้นจากสังสารวัฏฏ์แล้ว ทานที่ให้นั้น ก็ไม่ใช่ทานที่ทั้งมีผลมากและมีอานิสงส์มาก เป็นทานที่มีผลมากจริง แต่ว่าไม่มีอานิสงส์มาก


    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 168


    หมายเลข 2753
    11 ก.ค. 2568