“ปรมัตถธรรม” คือสิ่งที่มีจริง


    อ.นิภัทร คำว่า “ปรมัตถธรรม” ก็มาจากคำว่า ปรม + อัตถ + ธรรม แปลว่า ปรมัตถธรรม แปลทับศัพท์ คือแปลทับศัพท์ภาษาบาลีเดิม เราก็แปลว่า ปรมัตถธรรม เป็นภาษาไทย ก็เลยไม่รู้ว่าอะไร ถ้าแปลตามตัว ปรม แปลว่า อย่างยิ่ง หรือยอด อัตถ ก็แปลว่า เนื้อความ ความหมาย ธรรมก็คือสิ่งที่มีจริง

    ปรมัตถธรรมก็คือสิ่งที่มีความหมายอย่างยิ่ง หรือเป็นยอด ในความหมายว่า พูดไปแล้วไม่มีเพี้ยน ไม่มีผิดที่ต้องแก้ใหม่ นอกจากคนพูดผิดเอง แต่ว่าของจริงมีอยู่อย่างนั้น ไม่มีแปรผันเป็นอย่างอื่น ไม่มีผัดเพี้ยนไปอย่างอื่น มีอะไรบ้าง ก็รู้กันอยู่แล้ว มีจิต เจตสิก รูป นิพพาน

    ท่านพระอนุรุทธาจารย์ ท่านเป็นรุ่นราวคราวเดียวกับท่านพระพุทธโฆษาจารย์ ในสมัยเดียวกัน แต่ท่านพระอนุรุทธาจารย์ท่านเรียบเรียงคัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะ ๙ ปริจเฉท ท่านย่ออภิธรรม ๗ คัมภีร์ คือธัมมสังคณี วิภังค์ ธาตุกถา กถาวัตถุ บุคคลบัญญัติ ยมก ปัฏฐาน รวมทั้ง ๗ คัมภีร์ ย่อแล้วเหลืออยู่ ๔ คำ คือ จิ เจ รุ นิ จิ คือ จิต เจ คือ เจตสิก รุ คือ รูป นิ คือ นิพพาน

    ท่านย่อลงเหลือแค่นี้ เราก็เรียนกันแค่นี้ คือ การเรียนธรรม ไม่ใช่เรียนเพื่อให้เข้าใจเรื่องราวเฉยๆ ผมก็ว่าผมเรียน ผมรู้ เพื่อนๆ ก็ว่าเขารู้ ครูบาอาจารย์ที่สอนมาก็ว่ารู้ แต่เสร็จแล้วก็ไม่รู้ ที่ว่ารู้ คือรู้ความหมายตามตัวหนังสือ แต่ไม่รู้ความจริงที่เป็นวัตถุประสงค์ของการศึกษาธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประสงค์ให้ผู้ฟังได้รู้ ความจริงเป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต คิดเอาเองไม่ได้ ละเอียด บัณฑิตคือผู้ที่ใฝ่รู้เท่านั้นถึงจะรู้ได้ ถ้าคิดว่า อย่างนี้ๆ รู้แล้ว ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีใครบ้างที่ไม่รู้ ไปถึงประตูวัดก็ได้ยินแล้ว ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่นั่นรู้แต่ชื่อ ไม่สำเร็จประโยชน์

    ที่จะสำเร็จประโยชน์ ตาคืออะไร เพราะว่าธรรมอยู่ที่นี่ อยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วอยู่เมื่อไร อยู่เมื่อมี อยู่เมื่อปรากฏ ปรากฏเมื่อไร ก็ทางตาเห็นเมื่อไร ก็ปรากฏเมื่อนั้น หูก็เหมือนกัน ได้ยินเมื่อไร ก็ปรากฏเมื่อนั้น จมูกได้กลิ่นเมื่อไร ก็ปรากฏเมื่อนั้น ลิ้นรู้รสเมื่อไร ก็ปรากฏเมื่อนั้น กายถูกต้องสัมผัสเย็น ร้อน อ่อน แข็งเมื่อไร ก็มีเมื่อนั้น จิตคิดนึกเมื่อไร ก็มีเมื่อนั้น

    บางทีเราก็รู้ว่ามี แต่ยังไม่น้อมใจที่จะเชื่อว่าเป็นธรรม ตรงนี้นี่ยาก ที่ยังไม่น้อมก็เพราะเรายังไม่ซึ้งถึงความหมายว่า เห็นกับสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นธรรม เพราะเรายังไม่รู้ประโยชน์เลย เห็นก็เห็นอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่ปรากฏก็มีอยู่ตลอดเวลา แต่เป็นธรรมอย่างไร เป็นของจริงที่ไม่มีที่ไหนๆ จะทดแทน หรือทำหน้าที่เห็นอย่างนี้ได้ ก็มีตาเท่านั้น จะใช้หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แทนไม่ได้ ตาเขามีหน้าที่เห็น เห็นแล้ว เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ใช่เห็นเป็นคน เป็นผู้หญิง ผู้ชาย เป็นสิ่งเป็นของ

    ตรงนั้นไม่ใช่เรื่องทางตา ถ้าเห็นเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่ง เป็นของเมื่อไร เลยวิสัยของตาไปแล้ว เลยความสามารถทางตาไปแล้ว เป็นความสามารถทางใจ เป็นเรื่องของทางใจ ตรงนี้เมื่อไม่เข้าใจ เราก็เลยเหมาเอาว่าเป็นอันเดียวกัน ที่แท้เขาก็ผสมผะเสกันทำให้เราหลงติดคิดว่าเป็นอันเดียวกัน เราก็เลยยึดติดว่าเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งของ แล้วยากที่จะทำความเข้าใจ ยากที่จะล้างออกได้ ล้างออกยาก มันติดแน่นเหลือเกิน ความเป็นตัวเป็นตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล มันหยั่งลงในนี้ มีมานะว่าเรา ว่าเขา ว่าของเรา ของเขา

    ยากที่จะถอน ยากที่จะกำจัด ยากที่จะละได้ ก็มีทางเดียวคือการฟัง ฟังเข้าใจมากขึ้นๆ เพราะว่าเราได้ฟังสิ่งที่ไม่เคยฟัง สิ่งที่เคยฟังแล้ว ถ้าไม่เข้าใจชัด ฟังซ้ำอีก ก็เข้าใจชัดขึ้น เราทำความเห็นให้ถูกต้องได้โดยการฟังไปๆ ความเห็นที่คลาดเคลื่อนก็ถูกต้องได้ จิตของเราก็เกิดผ่องใสได้

    ทำไมถึงว่า เห็นกับสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นธรรม ก็เพราะจริงอย่างนั้น ไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อไม่เปลี่ยนแปลง ความเป็นตัวเป็นตนก็ไม่มี เมื่อเห็นก็รู้ว่า ไม่มีตัวมีตน มีแต่ธรรม ตลอดทั้งตัวเลย ที่ว่ามีธรรมก็เป็นเพียงเราคิด เรายึด เราติดไปเท่านั้นเอง แต่ก็ไม่ต้องเดือดร้อน ฟังไปเรื่อยๆ ความเข้าใจก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ไม่ได้มีมากมายทีเดียว ฟังหนสองหนจะให้บรรลุนั้นเป็นไปไม่ได้ ก็ต้องค่อยๆ ฟังไป ฟังไปๆ ข้อสำคัญอย่าท้อถอย ต้องตั้งใจฟังไปตลอดเวลา ได้บ้าง เสียบ้าง ก็ช่างปะไร ก็สะสมไปเรื่อยๆ ก็มีมากได้เอง

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 455


    หมายเลข 14415
    8 ธ.ค. 2568