ฟังธรรมไม่ใช่เพื่อจำ แต่เพื่อเข้าใจความจริง


    ฟังธรรมเพราะเห็นประโยชน์

    ท่านอาจารย์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้าใจว่ายังมี แต่ว่าความจริง ที่เราว่าเรามี ก็เพราะเหตุว่าเราต้องการเมื่อไหร่ เราได้เมื่อนั้น ไม่ว่าจะเก็บไว้ที่บ้าน หรือที่ธนาคาร หรือฝากใครก็ตาม เพราะคิดว่าเมื่อต้องการเมื่อไหร่ ก็ได้เมื่อนั้น จึงเข้าใจว่ายังเป็นของเราอยู่ แต่ความจริงนอนหลับก็ไม่เหลือแล้ว ไม่มีอะไรเหลือเลยสักอย่างเดียว และก็ถ้ามีอันเป็นจริงๆ เมื่อไหร่หมดแล้วที่เคยต้องการเมื่อไหร่ก็ได้ ก็คือต้องการก็ยังไม่ได้ เพราะว่าหมดไปแล้ว

    ก็เป็นเรื่องที่ถ้าคิดจริงๆ เข้าใจจริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างมีเมื่อจิตเกิดขึ้นแล้วรู้ สิ่งนั้นจึงมี แต่ถ้าจิตไม่เกิดจะไม่มีอะไรเลย แต่มีความคิด แล้วก็ความจริงก็คือว่าบางคนก็ยังคิดว่าเขายังมีอยู่ สมบัติมากมาย ก็ต่อเมื่อต้องการเมื่อไหร่ยังคงมีให้ได้เมื่อนั้น แต่ถ้าถูกขโมยไปหมดเกลี้ยงเกลา ก็ไม่มีเหลือแล้ว นี่ก็เป็นเรื่องซึ่งมีเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ว่าจะกล่าวว่ามีทุกข์แล้วจึงสนใจธรรม ไม่ถูกต้อง ถ้าคนนั้นไม่เคยสะสมมาเลย ทุกข์เท่าไหร่ก็ไม่ฟัง แต่คนที่สะสมมาแล้วกำลังมีสุขก็ฟังได้และก็เห็นประโยชน์ด้วย เพราะฉะนั้น ไม่ได้หมายความว่าต้องมีทุกข์เสียก่อน เพราะฉะนั้นถ้าถามทุกท่านว่าฟังธรรมเพราะอะไร เพราะเหตุว่าสนใจมาก ได้ยินว่ามีการสอน มีการกล่าวถึงในสิ่งที่เราไม่เคยรู้มาก่อนแล้วได้รู้ จะไม่ดีกว่าวิชาอื่นใดหรือ

    คนที่มีทรัพย์สมบัติมาก และเข้าใจว่ายังมีอยู่ต้องการเมื่อไหร่ก็ได้ เพียงแค่ตาย เหลืออะไรไหม แล้วก็ไปเกิดเป็นอะไร พระนางอุพพรีเกิดเป็นหนอน เพราะฉะนั้น สมบัติตั้งแต่สมัยที่เป็นพระมเหสีอยู่ที่ไหน ถ้ายังไม่จากโลกนั้นมา ก็เหมือนยังมีอยู่แต่พอจากไปแล้ว หนอนเป็นเจ้าของทรัพย์เหล่านั้นหรือ ก็ไม่ใช่

    ไม่มีอะไรที่เป็นเราหรือของเรา

    อ.คำปั่น กราบเรียนท่านอาจารย์ในประเด็นที่ว่าไม่มีอะไรที่ควรยึดถือว่าเป็นของของเรา ไม่มีอะไรที่เป็นเรา ในการศึกษาพระธรรมที่จะมีความเข้าใจเป็นพื้นฐานตั้งแต่เบื้องต้นว่าไม่มีเรา ไม่มีของของเรา จะเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก็รู้ว่าเป็นธรรมเพราะว่าจริงๆ ก็รู้ยาก และก็ต้องเป็นผู้ที่จริงใจ ฟังธรรมเพื่ออะไร เห็นไหม เพื่อจำคำ หรือว่าเพื่อรู้จริงๆ ว่าขณะนี้ไม่ใช่เรา ส่วนใหญ่เราฟังธรรมเพื่อเราจะเข้าใจธรรม เพื่อเราจะรู้ธรรม แต่ความจริงเพื่อรู้ว่าไม่มีเรา ต้องเข้าใจให้ถูกต้องด้วย เพราะตราบใดที่ยังเป็นเราก็คือว่ายังไม่ได้เข้าใจธรรมจริงๆ เพียงแต่ได้ยินได้ฟังเท่านั้นเอง

    บางคนก็อาจจะชอบชื่อ กิเลสมีเท่าไหร่ เพื่ออะไร เพื่อจำกิเลส ๑๐ อกุศลเจตสิก ๑๔ หรือว่าเพื่อรู้ความจริงว่าทั้งหมดเป็นธรรมที่ละเอียดยิ่ง มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้นแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย แม้แต่ความที่พอใจสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่เป็นสภาพของโลภะ เกิดแล้วหนึ่งขณะดับ โลภะนั้นจะไม่กลับมาอีก แต่จะเป็นปัจจัยให้โลภะต่อๆ ไปเกิด ปรุงแต่งหลากหลายไม่ซ้ำ เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่งในสังสารวัฎก็คือหนึ่งจริงๆ มีแล้วก็ไม่มี แล้วก็จะไม่กลับมาอีกเลย

    การฟังอย่างนี้ไม่ใช่เพื่อที่จะให้เราไปจำ แต่เพื่อให้เข้าใจความจริงว่าแล้วยึดถืออะไร ในเมื่อแต่ละอย่างไม่เป็นไปอย่างที่เราหวังหรือคิดหรือต้องการ แต่ต้องเกิดแน่นอนเมื่อมีปัจจัย เพียงเกิดขึ้นปรากฏว่ามี แล้วหมด แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย

    เพราะฉะนั้นต้องเป็นคนที่มั่นคง ฟังธรรม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอกุศลธรรม หรือปรมัตถธรรม เช่น สภาพธรรมที่มีจริงๆ และจะไม่พ้นจากจิต ธาตุรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ และเจตสิกซึ่งต้องเกิดร่วมกัน อาศัยกันและกันเกิดขึ้น แสดงว่าไม่มีเราแน่นอน ไม่มีใครไปทำให้จิตและเจตสิกนั้นๆ เกิดขึ้น แต่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เป็นธาตุรู้เป็นจิตกำลังรู้แจ้งสิ่งหนึ่งสิ่งใด ต้องมีนามธาตุซึ่งเกิดกับจิตนั้น แต่หลากหลายเพราะไม่ใช่จิต ธรรมนั้นๆ ชื่อว่าเจตสิก และก็มีถึง ๕๒ ประเภท ทำให้จิตหลากหลายไป คือเข้าใจเพื่อไม่มีเรา ไม่ว่าจะเป็นอกุศลหรือกุศลใดๆ ขณะนั้นก็เกิดชั่วคราว สั้นมาก แล้วก็หมดไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก

    ถ้าไม่ลืมคำนี้ การฟังธรรมก็จะฟังด้วยความเข้าใจไปโดยตลอดว่า ไม่ว่าจะทรงแสดงธรรมโดยเทศนาที่ลึกซึ้ง แต่ทั้งหมดก็กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง คือจิต เจตสิก รูป ไม่ใช่เรา และนิพพานซึ่งเป็นธาตุซึ่งตรงกันข้ามกับจิต เจตสิก รูป

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1940


    หมายเลข 14419
    17 ธ.ค. 2568