โทษของโลภะ โทสะ มานะ


    ผู้ฟัง ขอถามเรื่องโทษของอกุศล ในชีวิตประจำวันในวันหนึ่งๆ อกุศล เกิดเป็นส่วนใหญ่ เคยได้ยินท่านอาจารย์กล่าวในเทปว่า ขั้นแรกก็ควรจะเริ่มเห็นโทษของอกุศลก่อน ฟังธรรมให้เช้าใจและเห็นโทษของอกุศล จึงจะเปลี่ยนจาก อกุศลเป็นกุศล จึงมีปัจจัยทำให้กุศลเกิดขึ้นมากขึ้น ในที่นี้คำว่า “โทษของอกุศล” คืออย่างไร เช่น บางครั้งเราเกิดโทสะ เราไม่อยากที่จะพบความไม่สบายใจเนื่องจากโทสะนั้น เราก็นึกว่า นั่นคือโทษของโทสะ นั่นคือการเห็นโทษของอกุศลแล้ว แต่จริงๆ แล้วอาจจะยังไม่ใช่ ในวันนี้ ผมขอถามคำถาม ๓ คำถาม คำถามที่ ๑ คือ อย่างไรคือโทษของโลภะ และการเห็นโทษของโลภะคืออย่างไร คำถามที่ ๒ อย่างไรคือโทษของโทสะ การเห็นโทษของโทสะคืออย่างไร อย่างไรคือโทษของมานะ การเห็นโทษของมานะคืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ เวลาโลภะเกิด หรือโทสะเกิด หรือโมหะเกิด ค่อยๆ พิจารณา ถึงจะเข้าใจได้ เพราะว่า ถ้าเราจะกล่าวถึงโดยโทษ จะไม่เห็น เวลาโทสะเกิด เป็นอย่างไร

    ผู้ฟัง ไม่สบายใจ

    ท่านอาจารย์ ใจไม่สบาย แล้วคิดอย่างไร

    ผู้ฟัง ไม่อยากอยู่ในสภาพนั้น

    ท่านอาจารย์ แล้วพูดอย่างไร เวลาโทสะเกิดเคยพูดไหม แล้วพูดอย่างไร

    ผู้ฟัง ก็ผิดปกติไป

    ท่านอาจารย์ พูดดีหรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ดี

    ท่านอาจารย์ แล้วทำอย่างไร เวลาโทสะเกิด ทำสิ่งที่ดีหรือไม่ ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อ หรือ ทำอะไรเวลาที่โทสะเกิด

    ผู้ฟัง ทำสิ่งที่ไม่ดี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็ย่อมเห็นโทษของโทสะได้ โดยเข้าใจสภาพที่กำลังเป็นอย่างนั้นในขณะนั้น ด้วยตัวเอง เวลาโทสะเกิด ใครเดือดร้อน

    ผู้ฟัง ตัวเราเองเดือดร้อน

    ท่านอาจารย์ คนอื่นเดือดร้อนด้วยหรือไม่ ถ้าคนอื่นเขาไม่มีโทสะ แต่เรามีโทสะ ใครเดือดร้อน

    ผู้ฟัง เราก็เดือดร้อน

    ท่านอาจารย์ คนที่มีโทสะเดือดร้อน คนที่ไม่มีโทสะไม่เดือดร้อนเลย และเมื่อมีความเดือดร้อนแล้วใจร้อนมากเพิ่มขึ้น เป็นเหตุให้กระทำสิ่งที่ไม่สมควร ผิดปกติทางกาย ทางวาจา นำความทุกข์ความเดือดร้อน มาให้คนอื่นด้วย เป็นโทษหรือยัง

    ผู้ฟัง เป็นโทษ

    ท่านอาจารย์ และถ้าไม่มีโลภะ โทสะจะเกิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ และถ้าไม่มีโมหะ โลภะ โทสะ จะเกิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นทั้งหมดก็มาจากความไม่รู้ คือ โมหะ

    ผู้ฟัง แล้วในส่วนของ "มานะ"

    ท่านอาจารย์ ถ้ารู้แล้วก็ไม่มีมานะ เพราะว่าธรรมเป็นธรรม แต่ผู้ที่จะละได้ เป็นพระอรหันต์ มานะเป็นความสำคัญตน แม้ไม่มีความเห็นผิด แต่ความสำคัญตนก็มี เคยรู้สึกสำคัญตัวหรือไม่ นั่นคือลักษณะของมานะ ถ้าไม่มีจะดีกว่าไหม

    ผู้ฟัง ดีกว่า ธรรมฝ่ายตรงข้ามกับมานะคืออะไร

    ท่านอาจารย์ คือความอ่อนน้อมถ่อมตน ความเป็นเพื่อน ทุกอย่างที่ดี ธรรมฝ่ายดีทั้งหมด ก็ตรงกันข้ามกับมานะ

    อ.กุลวิไล กล่าวถึงโทสะ สภาพความรู้สึก ที่เกิดร่วมด้วย คือ โทมนัสเวทนา ความไม่พอใจ แล้วที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า เวลาเกิดโทสะ วาจาเป็นอย่างไร ถ้าไม่สังเกตุจะไม่รู้ว่า ดุร้ายมาก ขาดเมตตา ซึ่งต่างกับ ขณะที่กุศลจิตเกิด เป็นมิตร เป็นเพื่อนกับทุกๆ คน และจะไม่เห็นโทษของโทสะได้อย่างไร แต่ตัวที่ร้ายที่สุด คือ โลภะ เราอาจจะชอบคำชม แต่เวลาที่มีคนติ หรือว่าเราในสิ่งที่ไม่ดี ก็จะรู้สึกเสียใจ แต่ไม่เห็นโทษของโลภะ เวลาที่มีคนชมว่านำมาซึ่งโทสะด้วย

    ท่านอาจารย์ รู้สึกว่า โลภะดีหรือ

    อ.กุลวิไล ไม่ดีเลย

    ท่านอาจารย์ แล้วจะกล่าวว่าไม่เห็นโทษได้ไหม

    อ.กุลวิไล ไม่ได้ เพราะฉะนั้นที่ร้ายที่สุดคือโลภะ

    ท่านอาจารย์ วิธีที่จะค่อยๆ เข้าใจโทษของโลภะ คือ ถ้าไม่มีโลภะเลย เบาสบายไหม ที่กำลังหนักเวลานี้ ก็เพราะโลภะ และที่มีโลภะก็เพราะโมหะ แต่ไม่เคยรู้สึกในความหนักของโลภะเลยว่า แท้ที่จริงถูกครอบงำด้วยโลภะตั้งแต่เกิด ก่อนหลับปกติคิดอะไร คิดดีๆ หรือโลภะ พรุ่งนี้จะทำอะไร หรือว่าโทสะ ขุ่นใจ

    นี่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า บังคับบัญชาได้อย่างไร เวลาที่เกิดมาแล้ว เมื่อปฏิสนธิจิตดับไป กรรมทำให้จิตเกิดดับสืบต่อเป็นประเภทเดียวกัน ยังไม่สิ้นสุดความเป็นบุคคลนั้น แล้วกระแสการเกิดขึ้นเป็นไปของธรรม คือปวัตติจะดำเนินไปตามการสะสมของแต่ละคน ไม่มีใครสามารถไปบังคับบัญชาให้ได้ยินอะไร วันไหนเป็นอย่างไร อยู่ที่ไหนอย่างไรเลย แต่ละขณะจิตมีปัจจัยจะเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ทันทีที่รู้สึกตัวมีความติดข้องในภพ ในความเป็น

    เพราะฉะนั้นโลภะสนิทที่สุด ไม่ห่างไกลเลย ติดตามอยู่ตลอดเวลา โดยแทบจะไม่รู้ตัวเลยว่า ตั้งแต่ลืมตาตื่น โลภะไม่ได้ห่างไปเลย แต่ไม่รู้ว่าเป็นโลภะ แล้วทำทุกอย่างตามโลภะด้วย โลภะเป็นนายจริงๆ และเป็นทาสของโลภะโดยตลอด แม้แต่การมาฟังธรรม โลภะให้มาชั่วคราว คือขณะนั้นไม่ได้ห้าม แต่กำลังฟังนี่มีโลภะไหม ก็ยังมีโลภะ ไม่เคยพ้นไปจากชีวิตได้เลย ยากแสนยาก เพราะเหตุว่าสะสมเป็นเพื่อนสนิท คุ้นเคยมานานแสนนาน แล้วยังชอบด้วย โลภะนี่แหละชอบโลภะ ไม่ชอบโทสะ แต่ชอบโลภะ เพราะฉะนั้นจะหมดโลภะได้เมื่อไร ถ้าไม่มีปัญญาที่จะรู้จริงๆ ว่าเป็นทาส ไม่ได้เป็นอิสระ ไม่ได้กล้าหาญเลย เพราะเหตุว่า โลภะต่างหากที่กล้าหาญกว่า สามารถบังคับบัญชาครอบงำได้ทั้งหมด

    เพราะฉะนั้นเวลาที่มีความเห็นถูก แล้วเห็นโทษ แล้วก็ฟังธรรม ชั่วขณะเท่านั้นเอง แล้วโลภะก็มาตามกลับไป สู่ความไม่รู้ สู่ความต้องการ สู่ทุกสิ่งทุกอย่าง

    นี่แสดงให้เห็นว่า การดับโลภะหมดเมื่อใด ก็เป็นอิสระจริงๆ คือพ้นจากอำนาจของโลภะ แต่ก่อนอื่นต้องรู้ว่า เราถูกครอบงำด้วยโลภะมากมายขนาดไหน

    อ.กุลวิไล ดิฉันชอบอยู่คำหนึ่ง ท่านอาจารย์เคยกล่าวให้ฟังว่า ถ้าเราไม่ต้องการอะไรเลย สบายจริงๆ แต่เราก็ยังต้องการอยู่

    อ.นิภัทร โลภะ ท่านบอกว่ามีโทษน้อย เพราะเราชอบมัน มีโทษน้อย แต่คลายช้า โทสะมีโทษมาก คลายเร็ว โกรธพักเดียวก็หายแล้ว โมหะมีโทษมากด้วย คลายช้าด้วย โลภะเกิดเมื่อใด โมหะก็ต้องเกิดด้วย โทสะเกิดเมื่อใด โมหะก็เกิดด้วย แต่โลภะกับโทสะจะไม่เกิดด้วยกัน ซึ่งประโยชน์ที่จะได้คือ ไม่ต้องไปจำชื่อมากมาย มันยาก แต่ให้รู้ขณะที่โลภะเกิด เรารู้ได้บ้างไหม โทสะเกิด รู้ได้บ้างไหม โมหะเกิด รู้ได้บ้างไหม รู้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เราชอบ ไม่ใช่เราโกรธ ไม่ใช่เราหลง เข้าใจอย่างนี้จึงจะได้ประโยชน์

    ผู้ฟัง โลภะ หรือความติดข้อง อาจารย์อรรณพกล่าวว่า ความติดข้องที่มีความเห็นผิดเกิดร่วมด้วย น่ากลัว และไม่สามารถเข้าใจความจริงได้เลย

    ท่านอาจารย์ และความเห็นผิดมาจากไหน

    ผู้ฟัง ความเห็นผิดก็มาจากความติดข้อง

    ท่านอาจารย์ และอวิชชาด้วย

    ผู้ฟัง ไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้นในการศึกษา ที่จะเห็นโทษ เบื้องต้นก็ต้องเข้าใจถูก เห็นถูก ในสิ่งที่ก่อนฟังได้เห็นผิด เข้าใจผิด ในสภาพธรรม ถึงจะสามารถอบรมปัญญาให้เข้าใจความจริงขั้นต่อๆ ไปได้

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 454


    หมายเลข 14410
    9 ธ.ค. 2568