เกิดเป็นมนุษย์เป็นผลของอะไร
สุ. คุณวรศักดิ์เกิดเป็นมนุษย์เป็นผลของอะไร
เป็นผลของกุศลระดับกามาวจรกุศล เพราะว่ากุศลมีหลายระดับ กุศลที่เป็นไปในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฎฐัพพะ ซึ่งเป็นวัตถุกาม กุศลที่ทำในวันหนึ่งๆ ก็เป็นเรื่องการให้ทานบ้าง เป็นต้น ยังไม่ถึงระดับที่คุณวรศักดิ์ถาม คือ ความสงบที่เป็นภาวนาที่เป็นสมถะ ที่จะทำให้กุศลอีกระดับหนึ่งเกิดขึ้น พ้นจากกามาวจรกุศล เพราะเป็นเรื่องของจิตที่สงบมั่นคง ไม่ใช่เป็นเรื่องของการให้วัตถุ รูป เสียง กลิ่น รส พวกนี้
กุศลอีกระดับหนึ่งที่มีความมั่นคงแล้ว จิตก็จะขึ้นถึงระดับรูปาวจรจิต เป็นกุศลที่มั่นคงที่มีรูปเป็นอารมณ์ แต่คุณวรศักดิ์ไม่เกิดเป็นพรหม ชาติก่อนจะเคยทำฌาน สงบจนกระทั่งถึงขั้นนั้นหรือเปล่า รู้ได้ไหมคะ ไม่ได้ แต่ก่อนจะตาย ใกล้จะตาย จิตขณะนั้นก็เป็นกุศลระดับของกามาวจรกุศล ทำให้เกิดเป็นมนุษย์ หรือว่าขณะต่อไป หรือในสวรรค์ก็ได้ แต่ก็ยังคงเป็นกามาวจรกุศล
ผู้ฟัง อาจจะเป็นทาน หรือเป็นศีล
สุ. ได้ทั้งนั้นค่ะ เป็นกุศลที่ยังไม่ถึงความมั่นคงของความสงบ ด้วยกำลังของสมาธิขั้นอัปปนา เพราะฉะนั้นก็สามารถปฏิสนธิในพรหมโลก ก็จะเกิดเป็นผลของกุศลอย่างหนึ่งอย่างใด ซึ่งเรารู้ไม่ได้เลย ชาติก่อนก็เคยฟังธรรม ชาติก่อนก็เคยให้ทาน ชาติก่อนก็เคยช่วยเหลือบุคคลอื่น กุศลนั้นเราไม่สามารถรู้ว่า กุศลไหนที่ทำให้แต่ละคนเกิดเป็นมนุษย์ในขณะนี้ ชาตินี้ แต่ต้องเป็นผลของกุศล และเป็นผลของกุศลที่มีกำลังพอสมควร ทำให้ไม่เป็นคนบ้า ใบ้ บอด หนวก พิการแต่กำเนิด
ด้วยเหตุนี้ผลของกุศลนั้นก็ทำให้กามาวจรวิบาก หรือจะใช้อีกคำหนึ่งว่า “มหาวิบาก” เพราะว่ากุศลจิตเป็นปัจจัยให้เกิดวิบากจิต เป็นจิต แต่ว่าเป็นจิตต่างประเภท จิตหนึ่งเป็นเหตุ อีกจิตหนึ่งเป็นผล ถ้าจิตที่เป็นเหตุไม่เกิด จะให้จิตที่เป็นผลของจิตนั้นเกิดก็ไม่ได้
เพราะฉะนั้นก็ต้องทราบว่า ผลของขณะแรกของชาตินี้ คือ ปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน เมื่อกุศลจิตต้องมีโสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วย เวลาให้ผลที่ดี จิตที่ ปฏิสนธิ ก็ต่างกันไปตามกำลังของกรรม ถ้าเป็นกุศลอย่างอ่อน อกุศลเบียดเบียนได้ แม้เกิดเป็นมนุษย์ ก็เป็นผู้พิการ บ้า ใบ้ บอด หนวก ตั้งแต่กำเนิด แต่ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น ก็หมายความว่า เป็นผลของกุศลที่มีกำลังกว่า เพราะว่าบางทีกุศลเล็กน้อยมาก เพียงแค่เก็บของตกให้คนอื่น ก็เป็นกุศล แต่ว่ากุศลก็มีความต่าง ที่ว่ามีกำลังขึ้น
เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นผลของกุศลที่ทำให้ไม่เป็นผู้พิการตั้งแต่กำเนิด ก็จะประกอบด้วยโสภณเจตสิก เพราะเหตุว่าจิตที่ปฏิสนธิที่เกิด เป็นผลของอกุศล จะมีโสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วยไม่ได้เลย ขณะที่เป็นผลของกุศล ก็แล้วแต่ว่าเป็นผลของกุศลระดับไหน ถ้าอย่างอ่อนมาก ก็ไม่มีโสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วย แต่เวลาที่ไม่เป็นผู้พิการตั้งแต่กำเนิด ก็มีโสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วย ซึ่งโสภณสาธารณเจตสิก เจตสิกฝ่ายดี ซึ่งเกิดกับโสภณจิต ต้องมี ๑๙ ประเภท ขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นถ้าขณะนั้นเป็นกุศลซึ่งไม่ประกอบด้วยปัญญา วันหนึ่งเราก็ทำกุศลที่ไม่ประกอบด้วยปัญญามากมาย ถ้ากุศลนั้นให้ผล ทำให้เกิดเป็นมนุษย์ มีโสภณสาธารณเจตสิกเกิดร่วมด้วย โสภณสาธารณเจตสิกที่ดีงามได้แก่ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ อโลภะ อโทสะ เป็นต้น ซึ่งเป็นธรรมฝ่ายดีเกิดร่วมด้วย แต่เมื่อเป็นผลของกุศลที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา จะให้มีปัญญาเกิดร่วมด้วยได้ไหม ในเมื่อเหตุไม่ประกอบด้วยปัญญา
ผู้ฟัง ไม่ได้ครับ
สุ. ไม่ได้ เพราะฉะนั้นบุคคลในโลกนี้อาจจะเป็นเศรษฐีมั่งมีมหาศาล แต่ไม่มีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย แล้วแต่ว่ากรรมที่ทำให้ปฏิสนธิประมวลมาซึ่งกรรมทั้งหมดแสนโกฏิกัปที่จะทำให้ปฏิสนธินั้นต่างกันไป ทำให้มีทั้งรูปร่างที่ต่างกัน ฐานะ เพื่อนฝูง ลาภ ยศ สรรเสริญ ความเป็นอยู่ทุกอย่างที่ต่างกัน เพราะฉะนั้นก็เห็นได้ว่า สำหรับคนที่เกิด และมีปัญญา ปัญญาที่นี่ไม่ใช่ทางโลก ที่มีความสามารถทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ ที่คิดว่าเป็นคนฉลาด แต่ว่าต้องเป็นปัญญาที่สามารถเข้าใจถูก เห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ที่สามารถจะเข้าใจตามลำดับของการสะสม
เพราะฉะนั้นปฏิสนธิจิตต่างกัน แม้เกิดเป็นคนมีโสภณสาธารณเจตสิกฝ่ายดีเกิด แต่ก็ไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วยก็ได้
