ความละเอียดของเวทนา


    ขอกล่าวถึงความยากในการรู้ลักษณะของสภาพธรรม เช่น ความรู้สึก ซึ่ง ทุกคนมี และก็ถือความรู้สึกเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะถ้ามีความทุกข์สักนิดหนึ่งเกิดขึ้น เดือดร้อนอย่างใหญ่หลวงได้ ใช่ไหม เพียงความรู้สึกไม่สบายกาย เพียงชั่วขณะจิตเดียวที่กายวิญญาณอกุศลวิบากจิตเกิด ก็เดือดร้อนมาก หารู้ไม่ว่าเพียงชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้นที่เป็นทุกข์ทางกาย ส่วนความเดือดร้อนกระวนกระวายทั้งหมดเป็นเรื่องของความทุกข์ทางใจ ไม่ใช่ทางกาย

    เพราะฉะนั้น เวทนา ความรู้สึกในวันหนึ่งๆ ถึงแม้จะทรงแสดงไว้ว่า มีลักษณะ ๕ คือ สุขเวทนา ๑ ทุกขเวทนา ๑ อุเบกขาเวทนา ๑ โสมนัสเวทนา ๑ โทมนัสเวทนา ๑ แต่ก็ยากที่จะรู้ลักษณะของเวทนาเจตสิกซึ่งเกิดพร้อมจิตและดับพร้อมจิต สลับกันอย่างรวดเร็ว

    สัทธัมมปกาสินี อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค อรรถกถาสัมมสนญาณนิทเทส แสดงความหยาบและความละเอียดของเวทนา ด้วยสามารถแห่งชาติ สภาวะ บุคคล โลกียะ และโลกุตตระ

    นี่คือเวทนาในสังสารวัฏฏ์ แล้วแต่ว่าจะเป็นบุคคลใด

    ที่ท่านกล่าวไว้ในวิภังค์ โดยนัยมีอาทิว่า เวทนาเป็นอกุศลหยาบ เวทนาเป็นกุศลและอัพยากตะละเอียด

    ทุกคนมีจิตเจตสิกซึ่งเป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง วิบากบ้าง กิริยาบ้าง และการที่สติจะระลึกรู้ลักษณะของความรู้สึก จะต้องรู้ว่า ความรู้สึกขณะจิตใดสามารถรู้ได้ ง่ายกว่าขณะจิตอื่น และถ้าสติไม่ระลึกลักษณะของความรู้สึก เป็นพระอริยบุคคลไม่ได้ เพราะว่าปัญญาต้องละความยึดมั่นในขันธ์ ๕ คือ ทั้งในรูปขันธ์ ในเวทนาขันธ์ ในสัญญาขันธ์ ในสังขารขันธ์ และในวิญญาณขันธ์

    ในเมื่อความรู้สึกมีจริง แต่สติไม่เกิด ไม่ระลึก ไม่รู้ความจริงของความรู้สึก จะให้ละคลายการยึดถือความรู้สึกว่า เป็นเรา เป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล ก็ไม่ได้

    เพราะฉะนั้น ควรทราบว่า ขณะที่สติจะเกิดระลึกลักษณะของเวทนา เวทนาประเภทไหนหยาบพอที่จะระลึกได้มากกว่าเวทนาที่ละเอียด

    โดยชาติ ซึ่งมี ๔ คือ อกุศล ๑ กุศล ๑ วิบาก ๑ กิริยา ๑ เวทนาเป็นอกุศลหยาบ เวทนาเป็นกุศลและอัพยากตะ คือ วิบากและกิริยา ละเอียด

    ข้อความต่อไปมีว่า

    เวทนาที่เป็นอกุศล เป็นไปเพื่อความไม่สงบ เพราะเป็นกิริยาเหตุอันมีโทษ และเพราะกิเลสทำให้เดือดร้อน เพราะเหตุนั้นจึงเป็นเวทนาหยาบกว่าเวทนาที่เป็นกุศล

    เวทนาที่เป็นอกุศล เป็นเวทนาหยาบกว่าวิบากและกิริยา เพราะมีความขวนขวาย มีความอุตสาหะ มีวิบาก โดยกิเลสทำให้เดือดร้อนและโดยมีโทษ

    ขณะนี้มีเวทนา พิจารณายากไหม ความรู้สึก ถ้าไม่ใช่สติปัฏฐาน ตอบได้ ขณะนี้รู้สึกอย่างไร ดีใจ หรือว่าเฉยๆ แต่เวลาสติจะระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นความรู้สึก ยากแล้ว ใช่ไหม ความรู้สึกในขณะนี้เป็นอะไร เกือบจะตอบไม่ได้ เพราะเหตุใด

    ขณะที่กำลังเห็น ต้องมีเวทนาเจตสิกเกิดร่วมกับจักขุวิญญาณที่เห็น แต่เป็นสภาพธรรมที่รู้ยากเพราะเป็นสภาพที่ละเอียด เพราะเป็นวิบาก แต่ในขณะใดที่เวทนาเป็นอกุศล จะรู้ง่าย ใช่ไหม กำลังดีใจ ตื่นเต้น ปีติ โสมนัส เป็นสุข สติยังพอที่จะระลึกได้ว่า สภาพความรู้สึกขณะนั้นก็เป็นความรู้สึกอย่างหนึ่ง พอที่จะเห็นได้ พอที่จะระลึกได้ แต่ทางตาที่กำลังเห็นและเป็นอุเบกขาเวทนา ทางหูที่กำลังได้ยินเป็น อุเบกขาเวทนา ขณะที่กำลังได้กลิ่นเป็นอุเบกขาเวทนา ยากไหม ถ้าเป็นกลิ่นที่ ไม่น่าปรารถนา กลิ่นที่ไม่น่าพอใจ กลิ่นเหม็น กลิ่นขยะ กลิ่นน้ำเน่า ในขณะนั้นพอที่จะรู้ลักษณะของความรู้สึกเฉยๆ ในขณะที่กำลังได้กลิ่นไหม หรือเป็นความรู้สึกเดือดร้อนมาก ทนไม่ได้ บางท่านถึงกับแสดงกิริยาอาการป้องกันไม่ให้กลิ่นนั้นปรากฏหรือกระทบกับฆานปสาท อาจจะอุดจมูก หรือทำอะไรก็แล้วแต่

    แสดงให้เห็นว่า เวทนาที่เป็นอกุศลหยาบกว่าเวทนาที่เป็นวิบากและกิริยา อย่างไรก็ตาม สติจะต้องระลึกลักษณะของความรู้สึก แต่ไม่ใช่บังคับว่า วันนี้ควร หรือวันนี้ต้องระลึกลักษณะของเวทนา แล้วแต่สติจะเกิดขณะใด เพราะสติเป็นอนัตตา สติมีกิจระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น ถ้าสติปัฏฐานจะเกิด แล้วแต่สติจะระลึกลักษณะของรูปหรือนาม ทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจ จะระลึกลักษณะของความรู้สึก หรือจะระลึกลักษณะของสภาพซึ่งเป็นธาตุรู้ที่กำลังเห็น กำลังได้ยินก็แล้วแต่ แต่แสดงให้เห็นว่า การที่จะดับกิเลสได้ ปัญญาต้องเจริญ และรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นขันธ์ ๕ ตามความเป็นจริง ไม่ใช่ว่าสามารถดับกิเลสเป็นพระอริยบุคคลได้โดยไม่รู้ลักษณะ ของขันธ์ ๕

    เพราะฉะนั้น จะเหลืออีกเท่าไรที่ปัญญาจะต้องเจริญ ก็แล้วแต่ปัญญาของ แต่ละบุคคลที่สะสมมามากน้อยต่างกันว่า จะต้องอบรมเจริญระลึกรู้ลักษณะของ ขันธ์ใด ทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

    สำหรับเวทนาที่หยาบด้วยสามารถของสภาวะ คือ ทุกขเวทนาหยาบกว่าอุเบกขาเวทนาและสุขเวทนา

    ใช่ไหม วันนี้ไม่รู้เลยว่า เวทนาเป็นอุเบกขาหรือเป็นสุขเวทนาทางกาย แต่เวลาที่ทุกขเวทนาทางกายเกิดเมื่อไร รู้ทันที เจ็บสักนิดหนึ่ง คันสักนิดหนึ่ง ปวดศีรษะ ปวดท้อง ปวดฟัน พวกนี้เป็นทุกขเวทนา ซึ่งโดยสภาวะแล้วหยาบกว่าอุเบกขาเวทนาและสุขเวทนา เพราะไม่มีความพอใจ มีแต่ความเดือดร้อนและครอบงำด้วย

    สุข ทุกข์ ๒ อย่าง เป็นเวทนาหยาบกว่าอทุกขมสุข ทั้งสุขและทุกข์หยาบกว่า อทุกขมสุข คือ อุเบกขาเวทนา โดยความควรแก่ความเดือดร้อน โดยทำความกำเริบ และโดยปรากฏ

    สำหรับอกุศลจิตด้วยกัน เวทนาที่เกิดกับโทสมูลจิตหยาบกว่าเวทนาที่เกิดกับโลภมูลจิต

    จริงไหม เวลาที่โทสมูลจิตเกิด รู้เลยว่าหยาบกระด้าง ความรู้สึกในขณะนั้นหยาบมาก

    ผู้ฟัง ผมคิดว่า เวทนาสำคัญมาก ฟังอาจารย์พูดเรื่องเวทนา ก็ฟังมานานแล้ว แต่สติไม่ค่อยได้ระลึกที่เวทนาเท่าไร เวทนาเป็นสัพพจิตตสาธารณเจตสิก เกิดอยู่ทุกเวลาแต่ไม่ค่อยรู้ เมื่ออาจารย์อธิบายว่า มีความละเอียดและหยาบแตกต่างกัน ถ้าเป็นทุกขเวทนาจะหยาบและรู้สึกง่าย เป็นการเตือนสติจริงๆ เหมือนได้มองหน้าและได้เห็นหน้าของเวทนาชัดขึ้นหลังจากที่ได้ฟังแล้ว ขอบคุณ

    สุ. ข้อความในพระไตรปิฎก ในสูตรหนึ่งมีว่า ในพรรษาหนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงพิจารณาเฉพาะเวทนาอย่างเดียวตลอด ๓ เดือน เพราะฉะนั้น เวทนา ความรู้สึก เป็นสภาพที่น่าพิจารณา และถ้ายิ่งพิจารณาก็ยิ่งเห็นความวิจิตร หรือความต่างกันของความรู้สึกแต่ละอย่างแต่ละขณะซึ่งเกิดขึ้น แต่ต้องเป็นผู้ที่อบรมเจริญสติปัฏฐาน อบรมเจริญปัญญาจริงๆ มิฉะนั้นไม่สามารถรู้ความต่างกันของลักษณะของเวทนาได้

    ข้อความในอรรถกถาต่อไปมีว่า

    เวทนาเป็นกามาวจร สำเร็จด้วยทานหยาบ สำเร็จด้วยศีลละเอียด แม้สำเร็จด้วยศีลก็หยาบ สำเร็จด้วยภาวนาละเอียด แม้สำเร็จด้วยภาวนาเป็น ทุเหตุกะ (คือ มีอโลภเจตสิก อโทสเจตสิกเกิดร่วมด้วยเพียง ๒ เหตุ) ก็หยาบกว่าเวทนาที่เป็นติเหตุกะ (คือ มีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย) แม้เป็นติเหตุกะ เป็น สสังขาริกะก็หยาบ เป็นอสังขาริกะละเอียด

    เป็นความละเอียดของเวทนาซึ่งเกิดร่วมกับจิต จิตยากที่จะรู้ เวทนาที่เกิดดับไปพร้อมกับจิตก็ยากที่จะรู้ด้วย

    ท่านที่อาจจะยังไม่เคยพิจารณาลักษณะของเวทนาความรู้สึกเลย แต่เมื่อ ทราบว่าจะต้องระลึก ก็อาจจะทำให้เกิดระลึกขึ้นได้บ้าง แต่ต้องตรงลักษณะของความรู้สึก ซึ่งไม่ใช่รูปธรรม เช่น ในขณะที่กำลังเห็น แต่ถ้ายังไม่รู้ว่าขณะที่กำลังเห็นเป็นธาตุรู้ เป็นอาการรู้ จะรู้ว่าเวทนาเป็นอย่างไรได้ไหมว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ก็รู้ไม่ได้ เพราะเคยรู้ว่าเวทนาเป็นเรา ไม่ว่าจะเป็นสุขเวทนา ทุกขเวทนา อุเบกขาเวทนา โสมนัสเวทนา โทมนัสเวทนา ก็ถือว่าเป็นเรา ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1522

    บางท่านอาจจะคิดถึงเรื่องเก่าๆ ในอดีต อาจจะมีการกระทำที่ทำให้รู้สึกโทมนัสเกิดขึ้นว่า ไม่ควรเป็นอย่างนั้นเลย ในขณะนั้นถ้าสติปัฏฐานเกิดก็รู้ว่า เป็นเพียง ชั่วขณะที่จิตกำลังคิดเท่านั้นและก็ดับ

    ถ้าระลึกได้จริงๆ และสามารถรู้ได้อย่างนั้นจริงๆ ก็จะรู้ความต่างกันของเวทนาในขณะที่สติปัฏฐานยังไม่เกิดกับในขณะที่สติปัฏฐานเกิด เพราะว่าในขณะที่ สติปัฏฐานไม่เกิดก็เป็นความโทมนัส ความเสียใจ เศร้าใจต่างๆ แต่เมื่อสติเกิด ระลึกได้ ในขณะนั้นถ้ารู้ว่าเป็นเพียงชั่วขณะเดียวที่คิดในสังสารวัฏฏ์ และก็คิดถึงเรื่องในอดีตที่ผ่านไปแล้ว ซึ่งก็เป็นเพียงจิตขณะที่คิดเท่านั้น ถ้าจิตขณะนั้นไม่คิดเรื่องนั้นความโทมนัสนั้นก็ไม่เกิด ถ้ารู้อย่างนี้ว่าไม่ใช่ตัวตนในขณะที่กำลังคิด ขณะนั้นเวทนา ก็เปลี่ยนแล้ว ใช่ไหม จากความโทมนัสเป็นความผ่องแผ้วที่เป็นกุศลได้ เพราะว่าเวทนาที่เป็นอกุศลต่างกับเวทนาที่เป็นกุศล

    เพราะฉะนั้น สติปัฏฐานทำให้ละทุกข์ได้ ในขณะที่ปัญญาเกิดสามารถรู้ ความจริงของสภาพธรรมในขณะนั้นตามความเป็นจริงได้

    ถ. ถ้าเป็นพระอริยบุคคล หรือพระอรหันต์ สามารถระลึกรู้สภาพจิต ตามเท่าทันทุกขณะจิตที่เกิดขึ้นไหม

    สุ. ไม่จำเป็น เพราะว่าพระอริยบุคคลมีตั้งแต่ที่เป็นเอตทัคคะในทางต่างๆ อย่างท่านพระสารีบุตร นอกจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งมีปัญญาสูงที่สุดแล้วรองลงมาคือท่านพระสารีบุตร เพราะฉะนั้น พระอริยะองค์อื่นๆ ต้องมีปัญญา ไม่เท่ากับพระอริยะซึ่งเป็นอัครสาวก หรือเป็นมหาสาวก

    ถ. ที่อาจารย์พูดเมื่อกี้ ขณะที่สติระลึกรู้ได้ว่า การนึกคิดอย่างนั้นเป็นเพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่ง และจะเกิดการผ่องแผ้วขึ้น แต่ผมคิดว่า ถ้าเรามัวระลึกรู้อย่างนี้ สภาพธรรมอื่นๆ หรือลักษณะของจิตอื่นๆ ที่เกิดขึ้นมากมาย ขณะนั้นเราละเลยไปหรือเปล่า

    สุ. เวลาที่จิตผ่องแผ้ว หรือความรู้สึกสบายขึ้น ก็รู้ว่าต่างกับขณะที่เป็นอกุศล นี่ด้วยอะไร ถ้าขณะนั้นสติไม่ระลึก จะรู้ความต่างกันไหม

    ถ. ไม่ทราบ

    สุ. เพราะฉะนั้น สติปัฏฐานก็เกิดต่อ โดยการที่ว่า ขณะแรก คือ ตอนต้นก็ระลึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้โทมนัส เสียใจ เพราะนึกคิดขึ้นมา แต่เมื่อสติปัฏฐานเกิด ก็รู้ว่า ขณะนั้นเป็นเพียงชั่วขณะที่คิดเรื่องนั้นเท่านั้น ถ้าไม่คิดเรื่องนั้นโทมนัสก็ไม่เกิด เมื่อรู้ว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน เป็นเพียงจิตที่เกิดคิดเรื่องนั้นขึ้น ที่รู้อย่างนั้นเป็นปัญญาหรือเปล่า และเมื่อเป็นปัญญาแล้ว ก็ยังสังเกตรู้ลักษณะของความรู้สึกว่า ความรู้สึกของขณะที่รู้ว่าไม่ใช่ตัวตน ต่างกับขณะที่เป็นอกุศลที่กำลังโทมนัส

    นี่ก็ไม่ได้ไปที่อื่น ก็ระลึกลักษณะของสภาพธรรมซึ่งปรากฏสืบต่อกัน ในขณะนั้นเอง

    ถ. ที่อาจารย์พูดว่า ขณะนั้นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ยังได้กลิ่นไหม ยังพอใจไหม และขณะนั้นเป็นอุเบกขาหรือเปล่า ผมยังข้องใจตอนนี้ ขอให้อาจารย์ช่วยอธิบาย

    สุ. ขณะนี้มีอุเบกขาเวทนาแน่ๆ เพราะว่ากำลังเห็น กำลังได้ยิน จักขุวิญญาณเกิดกับอุเบกขา โสตวิญญาณเกิดกับอุเบกขา แต่หลังจากที่อเหตุกจิตเหล่านี้ดับไปแล้ว กุศลจิตเกิด จะเป็นอุเบกขาหรือจะเป็นโสมนัสก็ได้ หรือถ้าอกุศลจิตเกิดก็มีทั้งอุเบกขาก็ได้ หรือโสมนัสก็ได้ หรือโทมนัสก็ได้

    เพราะฉะนั้น จะรู้ได้จริงๆ เมื่อสติกำลังระลึกลักษณะของความรู้สึก ไม่ใช่เพียงพูดเรื่องความรู้สึก แต่ที่พูดเรื่องความรู้สึกให้ทราบว่า ความรู้สึกเป็นสิ่งที่สติจะต้องระลึกจนกว่าปัญญาจะละความรู้สึกนั้นๆ ว่าเป็นเราที่กำลังดีใจ ที่กำลังเสียใจ ที่กำลังเฉยๆ

    เพราะฉะนั้น มีจิตเกิดขึ้นขณะใด ต้องมีสภาพความรู้สึก คือ เวทนาเจตสิกเกิดร่วมด้วยทุกครั้ง ซึ่งก็ดับไปแล้วอย่างรวดเร็วถ้าสติไม่ระลึก

    สติจะระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แล้วแต่ว่าจะระลึกที่ลักษณะของนามธรรม หรือระลึกลักษณะของรูปธรรม

    ถ. ถ้าอย่างนั้น ต้องเป็นสติพละจึงสามารถระลึกติดตามได้ตลอดเวลา

    สุ. ค่อยๆ อบรมไปเรื่อยๆ

    ถ. เคยได้ยินว่า กรรมเป็นเหตุ วิบากเป็นผล สงสัยว่า อกุศลจิตเป็นเหตุ หรือเป็นผล

    สุ. อกุศลเป็นเหตุ อกุศลวิบากเป็นผล หรืออกุศลจิตขณะนี้เป็นเหตุ คือ เป็นปัจจัย โดยเป็นอุปนิสสยปัจจัยสะสมสืบต่อทำให้อกุศลขณะต่อไปข้างหน้าเกิดขึ้น เช่น ถ้ามีโลภะชอบสิ่งหนึ่งสิ่งใด อยากจะเห็นสิ่งนั้นอีก ยังไม่เลิก ยังไม่ละ ยังไม่ ทิ้งไป เพราะฉะนั้น เวลาที่เกิดโลภะในรูปทางตา จะสะสมสืบต่อไปที่จะให้โลภะ เกิดอีกในขณะที่เห็นรูปทางตา หรือว่าสะสมโทสะก็ได้ สะสมอิสสา สะสมมัจฉริยะ ความตระหนี่ สะสมความสำคัญตน ได้ทุกอย่าง โดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยซึ่งเป็นที่อาศัยที่มีกำลัง เพราะว่าเกิดดับสะสมบ่อยๆ

    ถ. ผมมักจะแยกไม่ออกว่า อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล เช่น มาฟังธรรมที่นี่ เป็นการทำบุญ หรือที่เราได้มาฟังธรรมเพราะเราได้ทำบุญไว้แล้ว การมาฟังเป็นเหตุ หรือเรากำลังรับผลที่เคยทำบุญมาก่อนๆ

    สุ. เพราะฉะนั้น ต้องเรียนเรื่องชาติของจิตโดยละเอียดว่า จิตขณะไหนเป็นวิบาก จิตขณะไหนเป็นกิริยา จิตขณะไหนเป็นกุศล จิตขณะไหนเป็นอกุศล ไม่อย่างนั้นแยกไม่ออก เพราะว่าแต่ละวาระก็เกิดดับสลับซับซ้อนกันเร็วมาก จนกระทั่งเหมือนกับเห็นด้วย ได้ยินด้วย แต่ความจริงแล้ว วิถีจิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์หลายวาระโดยมีภวังค์คั่นแต่ละวาระ ซึ่งวาระหนึ่งๆ ก็มีวิถีจิตหลายประเภทที่รู้อารมณ์เดียวกัน

    ถ. บางทีมีเรื่องส่วนตัวทำให้เดือดร้อนใจ เดือดร้อนก็เป็นโทสมูลจิต เป็นอกุศล ดูเหมือนว่าเรื่องทำนองนี้เป็นเหตุ เป็นกรรม เป็นบาป แต่คิดว่าเรื่องของความเดือดร้อนน่าจะเป็นผลของบาปที่เกิดจากอกุศลกรรมที่เคยทำไว้แล้ว

    สุ. ถ้าเป็นผลของกรรม วิบากจิต ได้แก่ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ สัมปฏิจฉันนจิต สันตีรณจิต ตทาลัมพนจิต นอกจากนี้ไม่ใช่วิบาก นี่เป็นเหตุที่จะต้องรู้ว่า ในวาระหนึ่งๆ ไม่ใช่มีแต่วิบากจิต เพราะเมื่อถึงชวนะ เป็นเหตุแล้ว

    ถ. ถ้าอย่างนั้น เวลาเกิดโกรธขึ้นมา ขัดเคืองใจ หรือมีเรื่องเดือดร้อนใจ นี่ไม่ใช่เป็นผลของกรรม

    สุ. ไม่ใช่เป็นผลของกรรม แต่เป็นผลของการสะสมโทสะในอดีตที่ยัง ไม่ได้ดับ เพราะฉะนั้น โทสะเกิดขึ้นขณะหนึ่ง ไม่ได้จบหรือหมดไปเพียงเท่านั้น ยังสะสมสืบต่อทำให้โทสมูลจิตเกิดข้างหน้าอีก

    เพราะฉะนั้น อกุศลใดๆ ที่ยังไม่ดับ อกุศลนั้นๆ แม้ไม่เกิดขึ้นก็เป็นอนุสัยกิเลส คือ ตามนอนเนื่องสืบต่ออยู่ในจิต จนกว่าจะมีเหตุมีปัจจัยที่จะให้อกุศลประเภทหนึ่งประเภทใดเกิด อกุศลประเภทนั้นก็เกิด

    ขณะใดที่โลภะเกิด รู้ได้เลยว่ายังไม่ได้ดับโลภะเป็นสมุจเฉท จึงมีเหตุปัจจัย ทำให้โลภะเกิดในขณะนี้ และโลภะไม่ใช่วิบาก ถ้าเป็นวิบากต้องเป็นผลของอกุศลกรรม ไม่ใช่ผลของอกุศลจิต ต้องเป็นผลของอกุศลกรรมที่มีเจตนาทำทุจริตกรรม

    ถ้ารับประทานอร่อย ขณะนั้นเป็นโลภมูลจิต ไม่ใช่อกุศลกรรม แต่เป็นอกุศลจิต ผลของโลภมูลจิตในขณะนั้น คือ ทำให้โลภมูลจิตเกิดต่อไปข้างหน้าอีก สะสมเพิ่มขึ้นอีก

    เพราะฉะนั้น เวลาที่เกิดเดือดร้อน ลำบาก กระวนกระวาย กระสับกระส่าย ให้ทราบว่าในขณะนั้นจักขุวิญญาณเป็นอะไร เป็นอกุศลวิบากหรือเปล่า หรือแม้ว่า เห็นสิ่งต่างๆ ที่น่ารื่นรมย์ น่าพอใจ แต่ใจเศร้าหมองเดือดร้อน ขณะนั้นก็แยกได้ว่า ขณะเห็น จักขุวิญญาณเป็นกุศลวิบาก เป็นผลของกุศลจึงเห็นสิ่งที่น่าพอใจ แต่ขณะที่ใจกำลังเดือดร้อนกระสับกระส่าย ขณะนั้นไม่ใช่วิบาก

    วิบากต้องเฉพาะจักขุวิญญาณ ขณะเห็น ถ้าเป็นจักขุทวารวิถีก็ทั้ง สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ และตทาลัมพนะเป็นวิบาก นอกจากนั้นไม่ใช่วิบาก

    ถ. ในขณะที่เป็นวิบาก ยังไม่เป็นกุศลและอกุศล

    สุ. ถูกต้อง คือ จิตเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง ถ้าเป็นกุศล จะเป็นอกุศล เป็นวิบาก เป็นกิริยาไม่ได้ ถ้าจิตเป็นกิริยา ก็จะเป็นกุศล เป็นวิบาก เป็นอกุศลไม่ได้

    ถ. อยากให้อาจารย์ยกตัวอย่าง เวทนาที่เป็นอุเบกขาที่พระพุทธเจ้าท่านพิจารณาตลอด ๓ เดือนในพรรษา

    สุ. ทรงพิจารณาเวทนาที่ปรากฏกับพระองค์ในขณะนั้น เวทนามีมาก และทรงแสดงไว้โดยตลอด แล้วแต่ว่าบุคคลใดจะมีเวทนาประเภทใด ซึ่งก็น่าพิจารณาจริงๆ คือ ก่อนอื่นต้องพิจารณาว่า สภาพความรู้สึกเป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ถ้าประสบกับอารมณ์ที่น่าพอใจ ก็เป็นปัจจัยทำให้โสมนัสเวทนาเกิด ถ้าประสบกับอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ ก็เป็นปัจจัยให้โทมนัสเวทนาเกิด

    วันหนึ่งๆ ทุกคนก็มีโทมนัสเวทนาพอสมควร เพราะว่าทางตาที่กำลังเห็น ในภูมิมนุษย์ ถ้าเป็นสิ่งที่น่ายินดีพอใจ ขณะนั้นจักขุวิญญาณเป็นกุศลวิบาก แต่เวลาที่คิดเรื่องอะไรที่กลุ้มใจ เดือดร้อน ขณะนั้นเป็นโทมนัสเวทนา แสดงให้เห็นว่า ถ้าปัญญาเกิดจริงๆ จะตัดได้ว่า แท้ที่จริงแล้ว เรารับผลของกรรมจริงๆ หรือเปล่า หรือเราเพียงแต่เป็นทุกข์เดือดร้อนโดยไม่ใช่ผลของกรรม เพราะถ้าเป็นผลของกรรมขณะใด คือ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย จะได้อารมณ์ที่ดีถ้าเป็น ผลของกุศลกรรม และจะได้อารมณ์ที่ไม่ดีถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม อย่างทางกาย ถ้าไม่ป่วย ไม่เจ็บ ไม่ใช่อกุศลวิบาก แต่ทำไมเดือดร้อน ทำไมกลุ้มใจ แสดงให้เห็นว่า ไม่ควรจะกลุ้มใจ ในเมื่อยังไม่ได้รับผลของกรรมจริงๆ ทางกาย

    ถ้าใครอยู่บ้าน เมื่อวานนี้เป็นสุข แต่วันนี้เป็นทุกข์ บ้านก็คือบ้านเก่า และจักขุวิญญาณก็เกิดเห็นสิ่งต่างๆ ในบ้าน ซึ่งอาจจะเป็นดอกไม้สวยๆ หรืออาจจะ เป็นอะไรก็ได้ตามปกติ แต่ทำไมใจเป็นทุกข์

    เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นว่า วิบากเหมือนเดิม คือ ถ้าเป็นกุศลวิบากทางตา ก็เห็นสิ่งที่น่าพอใจ แต่เวลาที่ใจเดือดร้อนและระลึกขึ้นมาได้ว่า ขณะนี้ไม่ใช่การรับผลของกรรม เป็นแต่เพียงกิเลสของเราเองที่ทำให้จิตใจกระสับกระส่ายกระวนกระวายเดือดร้อน ก็จะบรรเทาได้ว่า นี่ยังไม่ใช่การรับผลของกรรมจริงๆ เพราะถ้ารับผลของกรรมจริงๆ ต้องเห็นสิ่งที่ไม่ดีทางตา ได้ยินเสียงที่ไม่ดีทางหู ได้กลิ่นที่ไม่ดี ลิ้มรสที่ ไม่ดี และกายเป็นทุกข์ เจ็บไข้ได้ป่วยต่างๆ เพราะฉะนั้น ถ้าร่างกายยังแข็งแรงดี ก็ไม่ควรที่จะกลุ้มใจอะไร

    คอยรับผลของกรรมทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายจริงๆ และ กันเรื่องวิตกกังวลเดือดร้อนออกไป เพราะว่าในขณะนั้นไม่ใช่ผลของกรรม

    จะกลุ้มใจ หรือไม่กลุ้มใจ วิบากจิตชนิดไหนจะเกิด ก็ต้องเกิดตามควรแก่กาลของวิบากนั้นๆ

    ถ. ทางมโนทวาร เป็นวิบากไหม

    สุ. ทางมโนทวาร วิถีจิตเริ่มตั้งแต่มโนทวาราวัชชนจิตเป็นวิถีจิตแรก เป็นกิริยาจิต หลังจากนั้นเป็นกุศลหรืออกุศลซึ่งไม่ใช่วิบาก และเมื่อเป็นอารมณ์ที่ชัดเจน กุศลหรืออกุศล ๗ ชวนะวิถีนั้นดับไปแล้ว ตทาลัมพนจิตซึ่งเป็นวิบากก็เกิด

    ถ. ถ้าอย่างนั้น ทางมโนกรรมที่เกิดกุศลหรืออกุศล ก็เป็นการสะสมสืบต่อสำหรับตัวเราเอง ใช่ไหม

    สุ. กุศล อกุศล เป็นการสั่งสมสันดาน

    ถ. ไม่ได้หมายความว่า เป็นวิบากที่จะได้รับต่อไปหรือ

    สุ. ถ้าไม่ใช่อกุศลกรรม ก็ไม่ทำให้เกิดอกุศลวิบาก ต้องแยกจิตเป็น อกุศลจิตและอกุศลกรรม ถ้าเป็นอกุศลกรรมบถ ถึงความเป็นกรรมบถ เป็นกรรมที่ ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดได้ แต่ถ้าเป็นเพียงอกุศลจิต ไม่ได้ทำอกุศลกรรม ผลของอกุศลจิตนั้นจะสะสมสืบต่อทำให้อกุศลจิตประเภทนั้นๆ เกิดอีก มีเชื้อมีปัจจัยที่จะเกิดบ่อยๆ ถ้าสะสมกุศลจิตทางหนึ่งทางใด ก็เป็นการสะสมสืบต่อที่จะให้กุศลประเภทนั้นๆ เกิดอีก

    ถ. ผมเคยเข้าใจว่า ที่สืบต่อก็เป็นวิบากเหมือนกัน เพิ่งมาเข้าใจเดี๋ยวนี้เอง

    สุ. ต้องรู้เรื่องชาติของจิตโดยละเอียดจริงๆ

    ถ. ความวิตกกังวล ความเดือดร้อนใจ ไม่ใช่เป็นผลของกรรม ความเดือดร้อน ความวิตกกังวลเกิดขึ้นเพราะอะไร

    สุ. เพราะกิเลส พระอรหันต์ท่านไม่เดือดร้อนเลย ไม่ว่าท่านจะอยู่ในป่า อากาศจะหนาว จะเย็น จะร้อนอย่างไรก็ตามแต่ เพราะท่านรู้จริงๆ ว่า ขณะนั้นเป็นแต่เพียงโผฏฐัพพะที่กระทบกาย หรือสิ่งใดๆ ที่จะกระทบตา กระทบหู กระทบจมูก กระทบลิ้น สำหรับพระอรหันต์ไม่เดือดร้อน เพราะว่าท่านหมดกิเลส เมื่อดับกิเลสหมดแล้วก็ไม่มีเรื่องกังวลใดๆ ทั้งสิ้น

    เพราะฉะนั้น ถ้าใครกลุ้มใจขณะไหน ให้ทราบว่า เป็นการสะสมความกลุ้มใจ ประเภทนั้นๆ กลุ้มใจด้วยโลภะก็มี กลุ้มใจด้วยโทสะก็มี แล้วแต่ว่าจะเป็นความกระวนกระวายเดือดร้อนด้วยอกุศลประเภทใด กลุ้มใจด้วยมานะก็มี กลุ้มใจด้วยอิสสาก็มี กลุ้มใจด้วยมัจฉริยะก็มี เป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้น ถ้าเห็นกิเลสแล้ว ก็น่ากลัว กลุ้มใจมากๆ เมื่อไร รู้ได้เลยว่าปัญญาไม่ได้ละคลายความกลุ้มใจนั้น เพราะว่าสติไม่ได้ระลึกลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ

    ถ้ากลุ้มใจและสติเกิด จะรู้ว่าต่างกับกลุ้มใจและสติไม่เกิด ซึ่งสติปัฏฐานเกิดได้แน่นอน และจะบรรเทาความกลุ้มใจในขณะนั้นด้วย เพราะขณะที่ปัญญาเกิดย่อม รู้ว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน และเพียงชั่วขณะเท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่าความกลุ้มใจนั้นจะตั้งอยู่ได้นานๆ ขณะที่กำลังเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏ ก็คนละขณะกับขณะที่กลุ้มใจ เพราะฉะนั้น ถ้าใส่ใจ ศึกษา พิจารณาขณะที่กำลังเห็น จะทำให้ไม่กลุ้มใจในขณะนั้น

    เพราะฉะนั้น วิบากจริงๆ ที่ทุกคนจะเดือดร้อน ก็เฉพาะกายวิญญาณที่เป็นทุกขสหคตังเท่านั้น เมื่อไรกายป่วยไข้ เป็นทุกข์ เจ็บปวด เมื่อนั้นเป็นผลของกรรมที่ได้รับทางกายที่ทำให้ทุกขเวทนาเกิด แต่ถ้าเป็นผลของกรรมที่ได้รับทางตา เห็นสิ่งที่ ไม่น่าพอใจ ไม่เจ็บ ไม่ปวด ก็น่าจะทนได้ ไม่ควรจะเดือดร้อน

    ถ้าสุขภาพสมบูรณ์ดี ควรที่จะรู้ว่า ขณะนั้นยังไม่ได้รับผลของอกุศลกรรม ทางกาย และจะเดือดร้อนทำไม เพราะว่าความวิตกกังวลทั้งหมด เป็นอกุศลจิต

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1523


    หมายเลข 14349
    28 พ.ย. 2568