การประพฤติของวิถีจิต ๓ ประเภท


    ข้อความใน อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค อรรถกถา จริยานานัตตญาณนิทเทส ข้อ ๑๖๕ มีว่า

    การรู้อารมณ์แต่ละทวาร เป็นการประพฤติของวิถีจิต ๓ ประเภท

    วาระหนึ่งๆ ซึ่งวิถีจิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางทวารหนึ่งๆ เป็นการประพฤติของ วิถีจิต ๓ ประเภท คือ

    วิญญาณจริยา ๑ อัญญาณจริยา ๑ และญาณจริยา ๑

    ข้อความต่อไปอธิบายว่า

    ชื่อว่าจริยา เพราะอรรถว่า ประพฤติในอารมณ์

    จริยา คือ วิญญาณ ชื่อว่าวิญญาณจริยา

    นี่เป็นชีวิตประจำวัน เพียงแต่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงโดยละเอียดถึงความต่างกันของขณะจิตในทวารหนึ่งๆ โดยประเภทของวิญญาณว่า จิตบางประเภทที่กำลังรู้อารมณ์ในขณะนั้นเป็นวิญญาณจริยา บางประเภทเป็นอัญญาณจริยา และบางประเภทเป็นญาณจริยา ซึ่งเป็นชีวิตประจำวัน แม้ในขณะนี้

    บทว่า วิชานนัฏโฐ นั้น เป็นแต่เพียงรู้แจ้ง ความว่า การรู้แจ้งอารมณ์

    ซึ่งทุกท่านก็ชินกับลักษณะของจิตที่ว่า วิชานนลักขณัง คือ เป็นสภาพที่เพียง รู้แจ้งอารมณ์ ไม่ว่าอารมณ์จะเป็นลักษณะใดประการใดก็ตาม ทางตาไม่ว่าจะเป็นสีสันวัณณะที่ต่างกันละเอียดสักเพียงใด จักขุวิญญาณก็เห็นความต่างกัน คือ รู้แจ้งในลักษณะของอารมณ์นั้น ด้วยสามารถจิตเกิดดับเป็นลำดับ

    ถ้าศึกษาแล้วก็ทราบว่า กำลังกล่าวถึงปัญจทวารวิถีจิต ซึ่งการเห็นครั้งหนึ่ง วาระหนึ่ง จะมีวิถีจิตเกิดดับเริ่มตั้งแต่ปัญจทวาราวัชชนจิตตลอดไปจนกระทั่งถึง ตทาลัมพนจิต

    ชื่อว่าวิญญาณจริยา เพราะอรรถว่า ไม่ประพฤติประกอบด้วยกุศลธรรม

    หรือประพฤติไม่มีราคะ ประพฤติไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ ไม่มีมานะ ไม่มีอิสสา ไม่มีมัจฉริยะใดๆ ทั้งสิ้น เพราะว่าขณะนั้นยังไม่ใช่กุศลจิต และไม่ใช่อกุศลจิต เพียงแต่เป็นอเหตุกจิต เพราะฉะนั้น อเหตุกจิต ๑๘ เป็นวิญญาณจริยา เพราะไม่ประกอบด้วยอกุศลธรรมและโสภณธรรมมีศรัทธาเป็นต้น

    นี่เป็นการทบทวนเรื่องของวิถีจิตแต่ละวาระอีกนัยหนึ่ง โดยแสดงถึงจิต ประเภทใดเป็นวิญญาณจริยา ประเภทใดเป็นอัญญาณจริยา และประเภทใด เป็นญาณจริยา

    ถ้าวิญญาณจริยา ได้แก่ อเหตุกจิต ปัญจทวาราวัชชนจิตเป็นวิญญาณจริยา คือ เพียงรู้แจ้งอารมณ์ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ สัมปฏิจฉันนจิต สันตีรณจิต โวฏฐัพพนจิต ซึ่งเป็นอเหตุกจิต เป็นวิญญาณจริยา

    อเหตุกจิตทั้งหมดมี ๑๘ ดวง ข้อสำคัญที่ควรจะได้พิจารณา คือ อเหตุกจิตทั้ง ๑๘ ดวง เป็นวิญญาณจริยา ซึ่งรวมทั้งหสิตุปปาทจิตของพระอรหันต์ด้วย

    ทรงแสดงธรรมโดยละเอียดขึ้นไปอีก ถ้าเป็นอัญญาณจริยา หมายความถึงอกุศลธรรม คือ อกุศลจิตและอกุศลเจตสิกซึ่งเกิดร่วมกัน ในขณะนั้นไม่ใช่ปัญญา จึงเป็นอัญญาณจริยา ส่วนญาณจริยานั้น ต้องเป็นในขณะที่ปัญญาเกิด สามารถรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ จึงเป็นญาณจริยา

    สำหรับอเหตุกจิต เป็นวิญญาณจริยา เพราะไม่ใช่อกุศลธรรมและไม่ใช่ กุศลธรรม ไม่ใช่โลภมูลจิต โทสมูลจิต หรือไม่ใช่กุศลจิตประเภทหนึ่งประเภทใดเลย

    อธิบายว่า ชื่อว่าวิญญาณจริยา เพราะประพฤติในความรู้แจ้งอารมณ์ที่รู้แจ้ง ดุจผ้าสีเขียวเพราะประกอบด้วยสีเขียว

    เท่านั้นเอง คือ แล้วแต่อารมณ์ที่จะปรากฏมีลักษณะอย่างไร วิญญาณจริยา คืออเหตุกจิตซึ่งเป็นวิถีจิตก็รู้แจ้งในอารมณ์นั้นเท่านั้น ดุจผ้าสีเขียวประกอบด้วยสีเขียว เพราะฉะนั้น ชื่อว่าวิญญาณจริยา เพราะอรรถว่าประพฤติเพียงรู้เท่านั้น

    ถ้าโดยนัยนี้ของวิถีจิต ทุกท่านก็ตอบได้ ปัญจทวาราวัชชนจิตเป็น วิญญาณจริยา หรืออัญญาณจริยา หรือญาณจริยา

    เป็นวิญญาณจริยา

    จักขุวิญญาณเป็นวิญญาณจริยา หรืออัญญาณจริยา หรือญาณจริยา

    เป็นวิญญาณจริยา

    สัมปฏิจฉันนจิตเพียงรู้แจ้งอารมณ์ เพียงรับอารมณ์ต่อ เพราะฉะนั้น เป็นวิญญาณจริยา ไม่ใช่อัญญาณจริยา และไม่ใช่ญาณจริยา

    สันตีรณจิต โวฏฐัพพนจิต ก็โดยนัยเดียวกัน แต่อกุศลจิตไม่ใช่ ใช่ไหม อกุศลจิตต้องเป็นอัญญาณจริยา ในขณะนั้นไม่ประกอบด้วยปัญญา

    ข้อความในอรรถกถาต่อไปมีว่า

    อัญญาณจริยา คือ ความประพฤติของจิตในอารมณ์ด้วยความไม่รู้ คือ ด้วยโลภะ ด้วยโทสะ ด้วยโมหะ

    ในขณะนี้เป็นอย่างนั้นบ้างไหม จิตเกิดดับสลับเร็วมากแต่ละวาระ บางวาระที่กำลังฟัง พิจารณา และเข้าใจ ก็เป็นกุศล แต่บางวาระเสียงกระทบหูนิดหนึ่ง ปัญจทวาราวัชชนจิตเกิดแล้ว เป็นวิญญาณจริยา โสตวิญญาณเกิดต่อก็เป็น วิญญาณจริยา เพราะว่ายังไม่ใช่กุศลหรือยังไม่ใช่อกุศล

    เพราะฉะนั้น ขณะนี้มีทั้งวิญญาณจริยาบ้าง อัญญาณจริยาบ้าง และสำหรับบางท่านที่ได้อบรมเจริญปัญญามามาก ก็เป็นญาณจริยาได้

    สำหรับอัญญาณจริยา ข้อความในอรรถกถามีว่า

    คือ ความประพฤติของจิตในอารมณ์ด้วยความไม่รู้ คือ ด้วยโลภะ ด้วยโทสะ ด้วยโมหะ โลภะย่อมไม่เกิดในรูปที่น่าปรารถนาเท่านั้น และโทสะก็ย่อมไม่เกิดในรูปที่ไม่น่าปรารถนาเท่านั้น

    เป็นชีวิตประจำวันซึ่งทุกท่านพิจารณาได้ คือ เท่าที่สังเกตมาก็รู้สึกว่า ถ้าอารมณ์นั้นเป็นอารมณ์ที่น่าปรารถนา โลภะจะยินดีพอใจในอารมณ์นั้น แต่ข้อความตอนนี้มีว่า โลภะย่อมไม่เกิดในรูปที่น่าปรารถนาเท่านั้น แสดงว่าแม้ในรูปที่ไม่น่าปรารถนา โลภะก็ยังเกิดได้ด้วย

    เป็นชีวิตประจำวันจริงๆ ที่แสดงให้เห็นว่า มากมายด้วยความไม่รู้ จึงทำให้ โลภมูลจิตเกิดบ้าง หรือโทสมูลจิตเกิดบ้าง หรือโมหมูลจิตเกิดบ้าง ในขณะที่ไม่รู้

    หลายท่านคงจะชอบสิ่งที่ไม่เหมือนคนอื่น และบางทีอาจจะเป็นสิ่งที่ไม่น่าปรารถนา แต่โลภะก็เกิด เป็นไปได้ไหม รสเผ็ดๆ รับประทานแล้วกระสับกระส่าย เดือดร้อน วุ่นวาย แต่แม้กระนั้น โลภะย่อมไม่เกิดในรูปที่น่าปรารถนาเท่านั้น คือ แม้ในรูปที่ไม่น่าปรารถนาโลภะก็เกิดได้

    และโทสะก็ย่อมไม่เกิดในรูปที่ไม่น่าปรารถนาเท่านั้น คือ โทสะในรูปที่ น่าปรารถนาก็มี

    บางสิ่งน่าปรารถนา น่าชื่นชม แต่โทสะก็ไม่ชอบ สำหรับบางท่านเป็นอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้น ทุกท่านพิจารณาตนเองจากพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ และจะ เห็นได้จริงๆ ว่า ในวาระเดียวที่จิตเกิดขึ้นรู้รูปที่ยังไม่ดับ จิตยังต่างกันออกไปเป็นประเภทๆ คือ เป็นทั้งวิญญาณจริยาและอัญญาณจริยา ในขณะที่อกุศลจิตเกิด

    สำหรับญาณจริยา คือ

    ความประพฤติของจิตในอารมณ์ด้วยสามารถแห่งวิปัสสนา มรรค ผล และทำหน้าที่รู้โดยพิเศษ เช่น ในปัจจเวกขณญาณ เพราะเหตุว่า ชื่อว่าญาณจริยา เพราะอรรถว่า จริยา คือ ญาณ หรือการประพฤติด้วยญาณ หรือประพฤติเพราะญาณ หรือประพฤติในอารมณ์ที่รู้แล้ว หรือประพฤติซึ่งความรู้

    ต้องเป็นเรื่องรู้จริงๆ ถ้ายังรู้ไม่จริงก็ไม่ใช่ญาณจริยา เพราะถ้าเป็นญาณจริยา เป็นวิวัฏฏนานุปัสสนา มีนิพพานเป็นอารมณ์ ท่านสงเคราะห์เข้าในญาณจริยา

    ต้องเป็นเรื่องของการประจักษ์แจ้งลักษณะของนิพพาน เป็นเรื่องของการรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง จึงจะเป็นญาณจริยา

    ถ. ญาณจริยาต้องเกิดทางมโนทวารเท่านั้น ใช่ไหม ทางปัญจทวารไม่ได้

    สุ. มหากุศลญาณสัมปยุตต์เกิดได้ ๖ ทวาร และในขณะที่กำลังมี วิปัสสนาญาณ จะไม่มีปัญจทวารวิถีได้ไหม

    ถ. ไม่ได้

    สุ. เพราะว่าการจะประจักษ์แจ้งลักษณะของรูปแต่ละรูป รูปนั้นต้องกระทบกับปสาทแล้วจึงจะปรากฏ และมโนทวารวิถีก็รู้ชัดในลักษณะที่ต่างกันของนามธรรมและรูปธรรม ซึ่งแยกได้ยากมากว่าขณะไหนเป็นปัญจทวารวิถี และขณะไหนเป็น มโนทวารวิถี และมหากุศลญาณสัมปยุตต์ก็ยังเกิดได้ทั้ง ๖ ทวารด้วย

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1521


    หมายเลข 14343
    28 พ.ย. 2568