อุปมาวิถีจิตด้วยมะม่วง
อรรถกถา อัฏฐสาลินี จิตตุปปาทกัณฑ์ คาถาขยายความเรื่องวิบากในอพยากตบท ได้อุปมาวิถีจิตในขณะที่รับอารมณ์ทางปัญจทวารไว้ด้วยอุปมาหลายอย่าง เช่น อุปมาวิถีจิตด้วยมะม่วง ซึ่งบางท่านที่ได้ศึกษาแล้วคงจะได้ฟังบ่อยๆ
ข้ออุปมามีว่า
ชายคนหนึ่งนอนคลุมโปงอยู่ที่โคนต้นมะม่วงที่มีผลแล้วหลับไป
ไม่รู้ว่ามะม่วงผลไหนจะสุกและจะหล่น เหมือนกับขณะที่เป็นภวังคจิตก็ไม่รู้ว่า กรรมไหนสุกงอมที่จะทำให้วิบากจิตใดเกิดขึ้นทางทวารไหน
เผอิญมะม่วงสุกผลหนึ่งหลุดจากขั้วหล่นบนพื้นดังตุ๊บ เหมือนดังกวาด สะเก็ดในหูของเขา
คือ เหมือนสะกิดหูนั่นเอง
เขาจึงตื่นด้วยเสียงมะม่วงนั้น แล้วลืมตาดู ต่อจากนั้นจึงเหยียดมือออกไป หยิบผลมะม่วง บีบ สูดดม และบริโภค
นี่คือการพยายามให้เห็นกิจของจิตแต่ละกิจในวาระหนึ่งๆ ซึ่งมีการรู้อารมณ์ทางทวารต่างๆ คือ
ในขณะที่เป็นกระแสภวังค์ เปรียบเหมือนกาลที่ชายคนนั้นหลับอยู่ที่โคนต้นมะม่วง ในกาลที่อารมณ์กระทบกับปสาทรูป เปรียบเหมือนกาลที่ผลมะม่วงสุก หลุดจากขั้วตกที่พื้นเสียงดัง เหมือนดังกวาดสะเก็ดในหู ทำให้เกิดภวังคจลนะและ ภวังคุปัจเฉทะ
มิฉะนั้นแล้วก็เป็นอติปริตตารมณ์ คือ แม้ว่าอารมณ์จะกระทบ ก็กระทบๆ ๆ แต่ว่าวิถีจิตไม่เกิดเลย แต่เวลาที่วิถีจิตจะเกิด ก็เหมือนกับกวาดสะเก็ดในหู คือ สะกิดหู ทำให้ภวังคจลนะเกิดและดับไป และภวังคุปัจเฉทะเกิดต่อ เป็นภวังค์ดวงสุดท้าย
กาลที่ปัญจทวาราวัชชนจิตเกิดขึ้น หลังจากที่ภวังคุปัจเฉทะดับไปแล้ว เปรียบเหมือนกาลที่ชายคนนั้นตื่นด้วยเสียงหล่น กาลที่จักขุวิญญาณเกิดขึ้นทำทัสสนกิจ เปรียบเหมือนกาลที่ลืมตาดู กาลที่สัมปฏิจฉันนจิตเกิดขึ้นรับอารมณ์ต่อจาก จักขุวิญญาณ เปรียบเหมือนกาลที่เหยียดมือไปจับ กาลที่สันตีรณจิตเกิดขึ้นพิจารณาอารมณ์ต่อจากสัมปฏิจฉันนะ เปรียบเหมือนกาลที่หยิบมะม่วงมาบีบ คือ พิจารณาว่าสุกหรือเปล่า กาลที่โวฏฐัพพนจิตตัดสิน คือ กำหนดอารมณ์ หรือกระทำทางให้ ชวนจิตเกิด เปรียบเหมือนกาลที่สูดดมมะม่วง กาลที่ชวนจิตเกิดขึ้นแล่นไปในอารมณ์ เปรียบเหมือนกาลที่บริโภคมะม่วง กาลที่ตทาลัมพนจิตเกิดขึ้นรับรู้อารมณ์ต่อจาก ชวนะ เปรียบเหมือนกับกาลที่กลืนเศษมะม่วงที่ยังเหลือค้างเล็กๆ น้อยๆ ตามไป
นี่เป็นอุปมาที่แสดงให้เห็นว่า แต่ละจิตเกิดขึ้นทำกิจต่างๆ กัน
ข้อความใน อัฏฐสาลินี มีต่อไปว่า
อุปมาข้อนี้แสดงข้อความอะไร
คือ ในการรู้อารมณ์ของจิตแต่ละอุปมา จะบอกไว้ด้วยว่า สำหรับอุปมานี้ แสดงความหมาย หรือมุ่งแสดงข้อความอะไร
แสดงข้อความว่า อารมณ์มีหน้าที่กระทบปสาท
คือ เสียงมะม่วงที่หล่นกระทบหู กิจของอารมณ์ คือ กระทบปสาท
เมื่ออารมณ์นั้นกระทบปสาทแล้ว ปัญจทวาราวัชชนจิตก็เกิดเป็นวิถีแรก จักขุวิญญาณมีหน้าที่เพียงแต่เห็น สัมปฏิจฉันนจิตมีหน้าที่เพียงแต่รับอารมณ์ สันตีรณจิตมีหน้าที่เพียงแต่พิจารณาอารมณ์ มโนทวาราวัชชนจิตมีหน้าที่เพียงแต่ตัดสินหรือกำหนดอารมณ์โดยทำโวฏฐัพพนกิจทางปัญจทวาร ส่วนรสแห่งอารมณ์ ชวนะเท่านั้นย่อมเสวยโดยส่วนเดียว
เพราะว่าจักขุวิญญาณเกิดขึ้นเห็นชั่วขณะเดียว แต่โลภมูลจิตพอใจในอารมณ์นั้น เท่ากับว่าชิมหรือเสวยรสของอารมณ์นั้นเต็มที่ด้วยความพอใจ หรือด้วยความ ไม่พอใจถ้าเป็นโทสมูลจิต หรือเป็นกุศลจิต ซึ่งก็แล้วแต่การสะสมของแต่ละบุคคล
ข้อความต่อไปมีว่า
ก็ในข้อนี้ ใครๆ ที่เป็นผู้กระทำ หรือผู้สั่งให้กระทำว่า ท่านนะจงชื่อว่าภวังค์ ท่านนะจงชื่อว่าอาวัชชนะ ท่านนะจงชื่อว่าทัสสนะ ท่านนะจงชื่อว่าสัมปฏิจฉันนะ ท่านนะจงชื่อว่าสันตีรณะ ท่านนะจงชื่อว่าโวฏฐัพพนะ ท่านนะจงชื่อว่าชวนะ ท่านนะจงชื่อว่าตทาลัมพนะ ดังนี้ มิได้มี
คือ สภาพธรรมทั้งหลายเกิดดับสืบต่อทำกิจแต่ละกิจเป็นจิตนิยาม คือ ลำดับความเกิดขึ้นเป็นไปของจิต โดยที่ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้เลย
