จิตสงบ นิมิตจึงปรากฏขึ้น ใช่ไหม
ถ. จิตสงบเป็นสมถะ นิมิตจึงปรากฏขึ้น ใช่ไหม
สุ. ไม่แน่ เพราะว่ามิจฉาสมาธิก็มีนิมิตได้ ถ้าเจริญสมถภาวนาอย่างถูกต้องแล้วจะทราบว่า ในสมถกัมมัฏฐาน ๔๐ กี่กัมมัฏฐานที่จะมีนิมิต และนิมิตนั้นต้องเป็นนิมิตที่ตรงลักษณะของกัมมัฏฐานนั้นด้วย ไม่ใช่ว่าเห็นนรก เห็นสวรรค์ เห็นอะไรก็จะเป็นนิมิตของสมถภาวนา
ถ. ... (ได้ยินไม่ชัด)
สุ. ที่ทำ จุดประสงค์ต้องการอะไร
ถ. ต้องการปฏิบัติให้รู้แจ้งปริยัติ
สุ. ต้องการเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้ไหม หรือว่าต้องการจะเห็นนามธรรมรูปธรรมเกิดดับ
ภาวนาไม่ได้หมายความว่าไปท่องบ่น หรือไปจงใจอยากที่จะเห็นนามธรรมรูปธรรมเกิดดับ แต่ภาวนา คือ การอบรมเจริญความรู้ในลักษณะของสภาพธรรม เพื่อละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล
การประจักษ์การเกิดดับของนามธรรมและรูปธรรมเป็นวิปัสสนาญาณขั้นที่ ๔ คือ อุทยัพพยญาณ เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะถึงอุทยัพพยญาณ ปัญญาจะต้องเจริญจากการที่สติระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ ซึ่งต้องอาศัยการฟังและการเข้าใจเรื่องของนามธรรมและรูปธรรมอย่างละเอียดจริงๆ เช่น ขณะนี้กำลังพูดเรื่องเห็นและเรื่องสิ่งที่ปรากฏทางตาให้รู้ว่าเป็นสภาพธรรมที่มีจริง โดยการกล่าวว่า เห็นเป็นสภาพรู้ เป็นลักษณะรู้ เป็นอาการรู้ เป็นธาตุรู้ชนิดหนึ่ง ซึ่งขณะใดที่ธาตุชนิดนี้เกิด จะต้องรู้ สิ่งหนึ่งสิ่งใด ทางตา คือ เห็น ทางหู คือ ได้ยิน นี่คือลักษณะของนามธรรมซึ่งเป็นสภาพที่น้อมไปรู้สิ่งที่ปรากฏซึ่งเป็นอารมณ์ นี่คือการพูดเรื่องนามธรรมในขณะที่เห็น กำลังเห็น
ถ้าเป็นผู้ที่ภาวนา คือ อบรมเจริญปัญญามาแล้วมาก จะรู้ถึงความต่างกันของ ขณะที่กำลังฟังเรื่องเห็นทั้งๆ ที่กำลังเห็น กำลังฟังเรื่องเห็นให้เข้าใจ กับมีเห็นจริงๆ ที่สติจะระลึกศึกษารู้ในสภาพที่กำลังเห็น ๒ อย่างนี่ต่างกัน
เพราะฉะนั้น ผู้ที่ฟังพระธรรมและสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ คือ ทันทีที่ฟัง ปัญญารู้ความต่างกันของขณะที่สติกำลังเข้าใจเรื่อง กับขณะที่สติระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ นี่เป็นสิ่งที่ต่างกันแล้ว ใช่ไหม
การอบรมเจริญปัญญาที่จะประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไป ไม่ใช่จงใจ ตั้งใจว่า ทำอย่างไร สอนให้ที หรือว่ากำหนดอย่างไร จึงจะประจักษ์ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม แต่เมื่อปัญญาเกิด ความค่อยๆ รู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม จะเพิ่มขึ้น และในขณะที่ความรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมค่อยๆ เพิ่มขึ้น จะละคลายความไม่รู้
เห็นนี่ ก็เห็นอยู่ตลอดเวลาทุกวัน แต่เวลาที่สติระลึก รู้หรือไม่รู้ว่า ไม่ใช่ตัวตนอย่างไร เป็นสภาพรู้หรือเป็นธาตุรู้เป็นนามธรรมอย่างไร ซึ่งก็คือ ขณะเดี๋ยวนี้เอง ไม่ใช่ว่าต้องไปทำ
เพราะฉะนั้น ในขณะที่กำลังเห็นตามปกติ ปัญญายังไม่สามารถรู้ลักษณะ ที่ไม่ใช่ตัวตน ซึ่งขณะเห็นเป็นสภาพรู้ และสิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่สภาพรู้ ถ้ายังไม่สามารถรู้อย่างนี้จริงๆ โดยการที่สติระลึกบ่อยๆ เนืองๆ และเป็นผู้ที่มีปกติ เจริญสติปัฏฐาน จะไม่มีทางประจักษ์การเกิดดับของนามธรรมและรูปธรรม โดยวิธีไปทำอย่างอื่นเลย เช่น ไปนั่งจ้อง นั่งกำหนด นั่งทำอะไรต่างๆ อย่างนั้นไม่ใช่การอบรมเจริญภาวนา
ภาวนา คือ เจริญ หรือกระทำบ่อยๆ เนืองๆ เป็นเรื่องของมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งปกติแล้วจะมีมรรคเพียง ๕ องค์ที่เกิด ได้แก่ สัมมาสติ เป็นต้น ไม่ใช่เรา
สัมมาสติเป็นสภาพที่ไม่ใช่เรา แต่เป็นขณะใดที่ระลึก เพราะว่าสติเป็นสภาพที่ ระลึก ฟังเรื่องนามธรรมและรูปธรรมจริง แต่สติระลึกที่ลักษณะที่กำลังเห็น นั่นคือ สติปัฏฐาน ซึ่งจะทำให้ละคลายความไม่รู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมไปเรื่อยๆ นี่คือการเจริญอบรม ไม่ใช่เป็นการไปทำด้วยความเป็นตัวตน
ถ. … เป็นรูปหรือเป็นนาม
สุ. นิมิตที่เห็นนั้น นิมิตอะไร
ถ. ... (ได้ยินไม่ชัด)
สุ. ถ้าบางท่านเห็น ก็เป็นเรื่องของเขา ถ้าขณะนี้ไม่รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ ขณะนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นอะไร
ปัญญาต้องเกิดในขณะที่สิ่งใดกำลังปรากฏ และค่อยๆ รู้สิ่งนั้น เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าแสงสว่างจะปรากฏ ถ้าในขณะที่อบรมเจริญปัญญาแล้วก็ต้องรู้ว่า นามธรรมมีลักษณะอย่างไร รูปธรรมมีลักษณะอย่างไร และละความไม่รู้ แต่นี่ยังคงมีความไม่รู้ แม้ว่าแสงสว่างจะสว่างจ้าขึ้นมาก็ไม่รู้ว่านั่นคืออะไร เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เป็นการอบรมเจริญปัญญา เป็นเรื่องที่จะต้องทิ้งไป ไม่ต้องสนใจ และให้เข้าใจเรื่องของสติปัฏฐานว่า คือสติที่ระลึกลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งจะเกิดขึ้นได้เมื่อเข้าใจลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมเพิ่มขึ้น
การอบรมเจริญสติปัฏฐาน เป็นการอบรมเจริญวิปัสสนา เป็นเรื่องของ การเจริญปัญญา ไม่ใช่เป็นเรื่องอื่น ต้องเป็นปัญญาของตัวเองจากขั้นของการฟัง ให้เข้าใจ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องข้ามไปถึงว่าจะวิปัสสนาอย่างไร เพียงแต่ว่า สิ่งที่กำลังปรากฏพระธรรมทรงแสดงไว้อย่างไร ก็ให้เข้าใจขึ้นตามลำดับ
