เป็นกุศลตลอดเวลา เป็นไปไม่ได้


    สุ. การย้ำเรื่องนามรูป สำหรับบุคคลธรรมดาที่เป็นฆราวาส ควรคิดถึงเรื่องนี้ในลักษณะอย่างไร จึงจะเป็นบุญกุศลตลอดเวลา

    อ.สมพร การย้ำเรื่องนามรูป จะให้เป็นกุศลตลอดเวลา เป็นไปไม่ได้ คือ บางครั้งเราคิดถึงเรื่องรูป หรือสีปรากฏทางตา บางครั้งเราก็เกิดความยินดีพอใจ ความยินดีพอใจเป็นโลภะ ตัณหา กุศลเกิดไม่ได้ก็เป็นอกุศลไป

    การที่เราจะให้กุศลเกิดมากๆ พอจะทำได้บ้าง แต่จะให้เป็นกุศลตลอดเวลา เป็นไปไม่ได้ เพราะธรรมทั้งหลายมีเหตุปัจจัยเป็นแดนเกิด มีเหตุอย่างใด สิ่งนั้นก็เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น จะให้มีกุศลตลอดเวลา เป็นไปไม่ได้

    ขณะจิตหนึ่งๆ กุศลอาจเป็นปัจจัยให้อกุศลเกิดได้ อกุศลก็เป็นปัจจัยให้ กุศลเกิดได้ การที่เราจะให้กุศลเกิดมากนี้พอจะเป็นไปได้บ้าง คือ ต้องหมั่นฟัง หมั่นศึกษา และปฏิบัติ หมั่นถามผู้รู้ว่า ทำอย่างไรกุศลจึงจะเกิด

    กุศลเกิดทางไหน หรืออกุศลเกิดทางไหน ก็เกิดทางตาที่ได้เห็น ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

    กุศลหรืออกุศลก็อาศัยเกิดทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจเท่านั้น และทำอย่างไรอกุศลจึงจะลดลง เมื่อสีปรากฏทางตา เราก็ระลึกถึงสี ความจริงสีไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ การที่เราเห็นแล้วว่าเป็นคน เป็นสัตว์นั้น เกิดจากความจำในอดีต เห็นครั้งแรก เห็นจริงๆ ยังไม่เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นเพียงการเห็น

    เห็นอะไร เห็นสีที่ปรากฏ สีไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ เมื่อระลึกรู้อย่างนี้บ่อยๆ โลภะ ความยินดีไม่เกิด โทสะ ความยินร้ายไม่เกิด ขณะนั้นก็เป็นกุศลได้ แต่เป็นกุศลที่ยังไม่แน่นอน เพราะจิตเรายังกลับกลอกได้ ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็เหมือนกัน แต่การที่จะให้กุศลเกิดติดต่อทั้งวัน เป็นไปไม่ได้

    สุ. คำถามนี้ก็ไม่พ้นเรื่องของโลภะ คือ โลภะในสิ่งซึ่งแสนจะเป็นไปไม่ได้ คือ อยากจะให้เป็นบุญเป็นกุศลตลอดเวลา

    ในเมื่อทุกคนยังมีกิเลส และผู้ที่จะไม่มีอกุศลเลยที่จะเป็นบุญเป็นกุศล ได้ตลอดเวลาคือไม่มีอกุศลเลยนั้น ต้องเป็นพระอรหันต์ และกว่าจะได้เป็น พระอรหันต์ต้องรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระโสดาบันก่อน และก็เป็นพระสกทาคามี เป็นพระอนาคามี จึงจะถึงความเป็นพระอรหันต์

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1843

    ทุกคนควรรู้จักตัวเองตามความเป็นจริงว่า เป็นทาสของความอยาก ไปเสียทุกเรื่อง แม้แต่อยากจะเป็นกุศลตลอดเวลา นั่นก็เรื่องของความอยากอีก ทำไมไม่รู้เหตุผลและตัวเองตามความเป็นจริงว่า ยังเป็นไปไม่ได้ เพราะว่า เมื่อยังมีอกุศล มีโลภะ ความพอใจ ก็จะต้องทันทีที่เห็นสิ่งที่สวยงาม เช่น ดอกกล้วยไม้ที่สวย โลภะก็เกิดแล้ว เป็นของธรรมดา แต่ให้รู้ตามความเป็นจริงว่า ไม่ใช่เราที่กำลังเห็น เป็นแต่เพียงสภาพรู้ หรือเป็นเพียงรูปธรรมที่ปรากฏทางตา ค่อยๆ รู้ขึ้น แม้ว่าโลภะจะเกิด ก็เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยและก็ดับ จะเป็นโลภะ อยู่ตลอดเวลาไม่ได้ เวลาที่โทสะเกิดก็ไม่ได้เกิดอยู่ตลอดเวลา โทสะเกิดและก็ดับ มีปัจจัยให้สภาพธรรมใดเกิด สภาพธรรมนั้นก็เกิด

    เพราะฉะนั้น อย่าเป็นคนใจร้อน หรืออย่าเป็นคนที่อยากไปเสียหมดทุกอย่าง จนกระทั่งอยากจะเป็นกุศลตลอดเวลา ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเป็นอย่างพระอรหันต์ทั้งหลาย

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1844


    หมายเลข 14085
    28 พ.ย. 2568