การศึกษาธรรม ขออย่าได้อยู่ในตำรา
ท่านผู้ฟังท่านหนึ่งท่านเขียนคำถาม กล่าวถึงข้อมูลตามที่ท่านศึกษา คือ กามวิถีที่แบ่งโดยทวารแห่งการรู้อารมณ์ได้ ๒ ทาง คือ ๑. กามวิถีทางปัญจทวารวิถี ๒. กามวิถีทางมโนทวารวิถี
ซึ่งไม่ได้ผิดไปจากขณะนี้เลย ที่ใช้คำว่า กาม หรือ กามวิถี คือ ขณะที่จิตเกิดขึ้นรู้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ในขณะนี้เอง
เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรม ขออย่าได้อยู่ในตำรา แต่ให้เข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ แม้แต่การใช้คำว่า กามวิถี คือ จิตขณะที่เห็น ที่ได้ยิน ที่ได้กลิ่น ที่ลิ้มรส ที่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส
กาม ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ซึ่งมีอยู่ทั่วไปตั้งแต่อเวจีมหานรกจนถึงเทวภูมิชั้นปรนิมมิตวสวัตตี เป็นภูมิของกาม ขันธ์ใดก็ดี อายตนะใดก็ดี ธาตุใด ก็ดี ที่เกิดในระหว่างนี้ทั้งหมด ชื่อว่าเป็นกามธาตุ เพราะฉะนั้น กามวิถี คือ ในขณะนี้ที่กำลังเห็น กำลังได้ยินนี้เองที่กล่าวว่า แบ่งโดยทวารแห่งการรู้อารมณ์ได้ ๒ ทาง คือ ๑. ทางปัญจทวารวิถี ๒. ทางมโนทวารวิถี
แสดงให้เห็นว่า ทันทีที่เห็น ทางตาดับไปแล้ว ภวังคจิตเกิดคั่น มโนทวารวิถีจิต ก็เกิดขึ้นรู้รูป หรือเสียง หรือกลิ่น หรือรส หรือโผฏฐัพพะนั้นต่อ
ข้อความต่อไปท่านเขียนว่า
อารมณ์ ๖ ที่มาปรากฏแก่มโนทวารวิถีนี้ (เฉพาะทางมโนทวารวิถี ไม่ใช่การเห็นทางตา การได้ยินทางหู เป็นต้น) มาสู่มโนทวารวิถีได้ ๒ ทาง คือ
๑. รับอารมณ์ ๖ ที่ปรากฏทางมโนทวารวิถีโดยตรงเรียกว่า สุทธมโนทวารวิถี
ถ้าเข้าใจความหมาย เรื่องชื่อไม่สำคัญ เพราะว่าชื่อเป็นคำภาษาบาลีที่ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงกับผู้ใช้ภาษาบาลี ในขณะนี้ ผู้ฟังใช้ภาษาไทยเพื่อให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรม เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นผู้ที่สามารถจะจำภาษาบาลีได้ก็ดี แต่ต้องเข้าใจความหมายด้วย ไม่ใช่เพียงจำเฉยๆ ข้อสำคัญที่สุด คือ ไม่ใช่จำภาษาบาลี แต่ไม่รู้ความหมายภาษาไทย หรือไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
๒. รับปัญจารมณ์ที่เนื่องมาจากปัญจทวารวิถีเรียกว่า ตทนุวัตติกมโนทวารวิถี หรือ อนุพันธกมโนทวารวิถี คือ เกิดสืบต่อจากปัญจทวารวิถี เพื่อให้รู้เรื่องราวอันเป็นบัญญัติตามโวหารของชาวโลก
เข้าถึงอรรถ ไม่ใช่เพียงแต่จำชื่อ
ข้อความต่อไป ตามข้อมูลที่ท่านเขียนมา
ตทนุวัตติกมโนทวารวิถีหรืออนุพันธกมโนทวารวิถีที่เกิดสืบต่อจากปัญจทวารวิถี มีอยู่อย่างละ ๔ วิถี คือ ๑. อตีตัคคหณวิถี ๒. สมูหัคคหณวิถี ๓. อัตถัคคหณวิถี ๔. นามัคคหณวิถี
ที่จริงควรใช้คำว่า วาระ มากกว่าคำว่า วิถี แต่ ๒ คำนี้ทุกคนก็ใช้สับกัน อยู่เสมอ จึงควรเข้าใจว่า วิถีจิตหมายถึงขณะที่ไม่ใช่ปฏิสนธิจิต ไม่ใช่ภวังคจิต ไม่ใช่จุติจิต เพราะฉะนั้น ปัญจทวาราวัชชนจิตเป็นวิถีจิต จักขุวิญญาณเป็นวิถีจิต สัมปฏิจฉันนจิตเป็นวิถีจิต สันตีรณจิตเป็นวิถีจิต โวฏฐัพพนจิตเป็นวิถีจิต ชวนจิต เป็นวิถีจิต ตทาลัมพนจิตเป็นวิถีจิต ซึ่งในวาระหนึ่งๆ ที่เกิดสืบต่อจะมีวิถีจิตกี่ประเภท นี่จึงจะเป็นความชัดเจน แต่ส่วนใหญ่มักจะพูดตามความเคยชิน คือ ใช้คำว่า วิถี แทนคำว่า วาระ
และขอให้ทราบว่า เมื่อปัญจทวารวิถี ทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ดับไปแล้ว ภวังคจิตเกิดคั่นแล้ว มโนทวารวิถีวาระแรกจะมีอารมณ์เดียวกับปัญจทวารวิถีอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดทางทวารหนึ่งทวารใดที่ดับไป เป็นวาระ ที่ ๑ ต่อจากนั้นเป็นวาระที่ ๒ คิดถึงสัณฐาน วาระที่ ๓ คิดถึงความหมาย วาระที่ ๔ คิดถึงชื่อ นั่นเป็นสิ่งที่เข้าใจในภาษาไทยได้
ข้อมูลต่อไปท่านกล่าวว่า
อารมณ์ทั้ง ๖ จำแนกโดยประเภทใหญ่ๆ แล้วมี ๔ ประเภท คือ ๑. กามอารมณ์ ๒. มหัคคตอารมณ์ ๓. บัญญัติอารมณ์ ๔. โลกุตตรอารมณ์
ถ้าเข้าใจเรื่องของกามาวจรจิตก็พอที่จะทราบได้ว่า ขณะใดที่มีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ หรือกามาวจรจิตเป็นอารมณ์ ขณะนั้นชื่อว่ามีกามอารมณ์
มหัคคตอารมณ์ คือ ขณะใดที่มีมหัคคตจิต ฌานจิต เป็นอารมณ์ ขณะนั้นก็ชื่อว่ามีมหัคคตอารมณ์
ขณะใดที่มีบัญญัติเป็นอารมณ์ ขณะนั้นก็ชื่อว่ามีบัญญัติอารมณ์
ขณะใดที่มีนิพพานเป็นอารมณ์ ขณะนั้นก็เป็นโลกุตตรอารมณ์
เรียกตามชื่อของสภาพธรรมนั่นเอง
ข้อความต่อไปมีว่า
บัญญัติอารมณ์ องค์ธรรม ได้แก่ บัญญัติธรรม ๒ ประการ คือ อรรถบัญญัติ และสัททบัญญัติ
นี่ก็เป็นชีวิตประจำวัน คือ เมื่อเห็นทางตา ก็รู้ความหมายของสิ่งที่เห็นทางใจ หรือเมื่อได้ยินเสียงทางหู ก็รู้ความหมายของเสียง คือ รู้คำ ทางใจ
คำถามของท่านมีว่า
๑. มโนทวารกับมโนกรรมต่างกันอย่างไร เพราะทำหน้าที่อย่างไร
๒. บัญญัติอารมณ์ปรากฏทางปัญจทวารวิถีหรือไม่ เพราะเหตุใด
บัญญัติอารมณ์ปรากฏทางปัญจทวารวิถีไม่ได้ เพราะว่าปัญจทวารวิถีมี ปรมัตถอารมณ์เป็นอารมณ์ คือ ขณะที่ทางตาเห็น จะต้องมีรูปกระทบกับจักขุปสาท และยังไม่ดับไป จิตที่อาศัยจักขุปสาทเกิดเป็นจักขุทวารวิถี มีรูปารมณ์ที่ยังไม่ดับ เป็นอารมณ์ เพราะฉะนั้น จะมีบัญญัติเป็นอารมณ์ไม่ได้
๓. ตามที่เห็น ได้ยิน คิดนึกเป็นบัญญัติ หรือเป็นเครื่องหมายของบัญญัติ และที่ได้กลิ่น ลิ้มรส มีบัญญัติหรือมีเครื่องหมายของบัญญัติหรือไม่ ไม่เข้าใจบัญญัติ กับเครื่องหมายของบัญญัติ
ขณะใดที่ไม่มีปรมัตถ์เป็นอารมณ์ ขณะนั้นมีบัญญัติเป็นอารมณ์ เท่านี้พอไหม ที่จะเข้าใจ ขณะใดที่ไม่มีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ ขณะนั้นมีบัญญัติเป็นอารมณ์
สำหรับคำถามข้อ ๑. ที่ถามว่า มโนทวารกับมโนกรรมต่างกันอย่างไร เพราะทำหน้าที่อย่างไร
เรื่องของธรรม เป็นเรื่องที่ควรจะได้ฟังและพิจารณาลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ จนเข้าใจ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่พยายามจำชื่อเท่านั้นว่าชื่ออะไร อย่างได้ยินคำว่า มโนทวารกับมโนกรรม ก็ควรที่จะได้คิดตั้งแต่ มโนคืออะไร ทวารคืออะไร กรรมคืออะไร เพื่อที่จะได้เข้าใจจริงๆ
มโน คือ ใจ
กรรม คือ การกระทำ ซึ่งได้แก่เจตนาเจตสิก
ทวาร คือ ประตู หรือทางที่จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ต่างๆ
เพราะฉะนั้น ถ้าทราบแต่ละคำ แต่ละความหมายแล้ว จะได้พิจารณาถึง อรรถจริงๆ ของคำที่ทรงแสดงเป็นภาษาบาลี
