เป็นสีลัพพตปรามาสกายคันถะได้อย่างไร
ถ. ผมได้ยินทางวิทยุที่ท่านผู้หนึ่งบรรยายเกี่ยวกับสติปัฏฐาน ท่านบอกว่าการกำหนดรูปนามที่เป็นปัจจุบันนั้น เฉพาะทางตาให้กำหนดที่นาม เฉพาะทางหูให้กำหนดที่นาม ส่วนที่เหลือนั้นท่านบอกว่าให้กำหนดที่รูปก็มี ที่นามก็มี ท่านว่าอย่างนี้ แล้วท่านก็ยกบาลีขึ้นมาอ้างด้วยว่า ทิฏฺฐํ โสตํ มุตฺตํ เมื่อเป็นเช่นนี้จะเป็นสีลัพพตปรามาสกายคันถะไปได้อย่างไร
สุ. สีลัพพตปรามาสกายคันถะ คือ ความเข้าใจผิดในข้อประพฤติปฏิบัติ ถ้าเป็นทิฏฐาสวะ คือ ความเห็นผิดทั้งหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นความเห็นผิดว่าโลกเที่ยง โลกสูญ หรือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏนี้เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน ทั้งหมดเป็นความเห็นผิด เป็นทิฏฐาสวะ เป็นทิฏโฐฆะ เป็นทิฏฐิโยคะด้วย แต่พอถึงคันถะ เครื่องผูก ทรงจำแนกแล้ว ถ้าไม่มีความรู้ที่ถูกต้องในการเจริญมรรคมีองค์ ๘ มีความเข้าใจผิดคลาดเคลื่อนอย่างหนึ่งอย่างใดเกิดขึ้นที่จะไม่ทำให้รู้ลักษณะของนามและรูปตามความเป็นจริง ก็เป็นสีลัพพตปรามาสกายคันถะ เพราะเหตุว่าไม่ตรงกับสภาพตามความเป็นจริง เช่น ทางตามีปรมัตถธรรม ๒ ชนิด คือ นามธรรมที่เห็นกับสีที่ปรากฏทางตา จะให้ระลึกแต่เฉพาะนามที่เห็นแล้วจะมีความรู้ในสีที่ปรากฏได้อย่างไร ไม่ได้แยกทวารทั้ง ๖ อายตนะทั้ง ๖ เลยว่า สิ่งที่กำลังปรากฏทางตานี้ก็เป็นของจริง เป็นสภาพธรรมที่มีจริงประการหนึ่ง ซึ่งไม่ปรากฏทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แต่เป็นสภาพธรรมของจริงที่ปรากฏทางตา ไม่ใช่ทางกาย ไม่ใช่ทางหู
เพราะฉะนั้น ความรู้ชัดจะทำให้สามารถกระจัดกระจายแยกนามและรูปที่เกาะกุมกันไว้เป็นสัตว์ เป็นบุคคลตัวตนได้ถูกต้อง ถ้าระลึกรู้ลักษณะของสีที่ปรากฏทางตา และระลึกรู้ลักษณะของเห็นที่กำลังปรากฏด้วย ไม่มีข้อความใดในพระไตรปิฎกที่จะให้เว้น [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 134]
สำหรับพยัญชนะที่อ้าง คือ ทิฏฺฐํ โสตํ มุตฺตํ และ วิญญาตํ นั้น
ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เหมกมาณวกปัญหานิทเทส มีข้อความเรื่อง ทิฏฺฐํ โสตํ มุตฺตํ วิญฺญาตํ ดังนี้
คำว่า ทิฏฺฐํ ความว่า ที่ได้เห็นด้วยจักษุคำว่า
โสตํ ความว่า ที่ได้ยินด้วยหู
คำว่า มุตฺตํ ความว่า ที่ทราบ คือ ที่สูดด้วยจมูก ลิ้มด้วยลิ้น ถูกต้องด้วยกาย
คำว่า วิญฺญาตํ คือ ที่รู้ด้วยใจ
ทั้งหมดนี้ทรงแสดงอารมณ์ที่ปรากฏทั้ง ๖ ทวาร
สำหรับสีที่ปรากฏทางตาซึ่งเป็นอารมณ์ของการเห็นนั้นใช้คำว่า ทิฏฺฐํ ความว่า ที่ได้เห็นด้วยจักษุ หมายความถึงอารมณ์ที่เห็นด้วยจักษุ ส่วนคำว่า โสตํ ก็ได้แก่เสียงที่รู้ได้ทางหู
คำว่า โสตํ ความว่า ที่ได้ยินด้วยหู หมายความถึงอารมณ์ที่ได้ยินด้วยหู
ส่วนคำว่า มุตฺตํ ความว่า ที่ทราบ คือ ที่สูดด้วยจมูก ลิ้มด้วยลิ้น ถูกต้องด้วยกาย คือ เป็นอารมณ์ทางจมูก คือ กลิ่น อารมณ์ที่รู้ได้ทางลิ้น คือ รส อารมณ์ที่รู้ทางกาย คือ โผฏฐัพพะ
ส่วนคำว่า วิญฺญาตํนั้น คือ อารมณ์ที่รู้ด้วยใจ
เพราะฉะนั้น เป็นอารมณ์ทั้ง ๖ ทวาร แต่ทรงจำแนกตามลักษณะหรือประเภทของอารมณ์นั้น เช่น ทางตาเป็นสิ่งที่ปรากฏให้รู้ได้ เป็นทิฏฐํ เสียงก็เป็นสิ่งที่ปรากฏให้รู้ได้ทางหู เป็นโสตํ ส่วนมุตฺตํนั้น คือ ที่สูดด้วยจมูก ที่ลิ้มด้วยลิ้น ที่กระทบสัมผัสด้วยกาย เพราะเหตุว่าอารมณ์ทั้ง ๓ อารมณ์นี้ เวลาที่กระทบปรากฏนั้น จะต้องกระทบสัมผัสถูกต้องสรีระจริงๆ สำหรับสีเป็นแต่เพียงที่ปรากฏทางตาให้เห็นเท่านั้น แล้วเสียงก็เป็นแต่เพียงอารมณ์ที่ปรากฏทางหูให้ได้ยิน แต่ว่ากลิ่น รส โผฏฐัพพะนั้นเป็นมุตฺตํ เพราะเหตุว่าต้องกระทบ ต้องเข้ามาชิดติดกับอายตนะ คือ จมูก ลิ้น กายจริงๆ
แต่ไม่ได้ทรงแสดงไว้ว่า ในการเจริญสติปัฏฐานนั้น ทางตาให้ระลึกรู้แต่เห็นไม่ให้รู้สี หรือว่าทางหูให้ระลึกรู้แต่ได้ยินไม่ให้ระลึกรู้เสียง หรือว่าทางจมูกไม่ได้ทรงแสดงไว้ว่า ให้รู้แต่กลิ่น ทางลิ้นก็ไม่มีพยัญชนะใดในพระไตรปิฎกที่ทรงแสดงไว้ว่า ให้รู้แต่รสไม่ให้รู้นามธรรมที่รู้รส ทางกายก็ไม่มีพยัญชนะใดที่ทรงแสดงไว้ว่า ให้รู้โผฏฐัพพะแต่ไม่ให้รู้นามธรรมที่รู้โผฏฐัพพะ
ทิฏฺฐํ ก็ดี โสตํ ก็ดี มุตฺตํ ก็ดี วิญฺญาตํ ก็ดี เป็นการจำแนกอารมณ์ทั้ง ๖ ว่าอารมณ์ประเภทใดเป็นทิฏฺฐํ อารมณ์ประเภทใดเป็นโสตํ ประเภทใดเป็นมุตฺตํ ประเภทใดเป็นวิญฺญาตํ เทียบเคียงได้กับมหาสติปัฏฐาน อย่างจิตตานุปัสสนาประการต่อไปก็จะถึงจิตประเภทต่างๆ
ถ. สรุปได้ว่า ทิฏฺฐํ โสตํ มุตฺตํ หรือวิญฺญาตํ เป็นการจำแนกอารมณ์ซึ่งเป็นรูปและเป็นนามเท่านั้นเอง ไม่ใช่จะต้องกำหนดว่า โสตํ ให้รู้ทางหูโดยเฉพาะ ก็ไม่ใช่อย่างนั้น แต่พยัญชนะที่ว่า ทิฏฺฐํ โสตํ มุตฺตํ วิญฺญาตํนี้จะมีความหมายว่าเป็นตัวรู้ไปจะได้หรือไม่
สุ. ดิฉันได้กราบเรียนถามพระคุณเจ้าที่มีความรู้ทางภาษาบาลี ท่านก็ กล่าวว่า ทิฏฺฐํ ได้แก่ รูปารมณ์ซึ่งเป็นสิ่งที่รู้ได้ด้วยตา โสตํ ได้แก่ สัททารมณ์ซึ่งเป็นสิ่งที่รู้ได้ด้วยหู มุตฺตํ ได้แก่ คันธารมณ์ รสารมณ์ โผฏฐัพพารมณ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่รู้ได้ด้วยจมูก ด้วยลิ้น ด้วยกาย
ดิฉันได้กราบเรียบถามท่าน ย้ำแล้วย้ำอีกหลายครั้ง แต่พยัญชนะก็แสดงว่า หมายความถึงอารมณ์
การที่จะละสีลัพพตปรามาสกายคันถะได้ ผู้นั้นจะต้องเจริญข้อประพฤติปฏิบัติที่ถูก และทิ้งข้อประพฤติปฏิบัติที่ผิดจึงจะรู้แจ้งอริยสัจธรรม แต่ถ้ายังมีข้อประพฤติปฏิบัติที่ผิดหลงเหลืออยู่ไม่ทิ้งไป ก็หมดโอกาสที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ ถ้าขณะนี้สติไม่ระลึกรู้ลักษณะของนามของรูปที่กำลังปรากฏเลย จะมีข้อประพฤติปฏิบัติอื่นใดที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจธรรมได้
ท่านที่มีความโกรธแรงกล้า สติอาจจะเกิดขึ้นระลึกนิดเดียว แต่เพราะโทสะมีกำลังแรง ก็เป็นปัจจัยให้เกิดต่อไปอีกถ้าสติไม่ระลึกรู้ในขณะนั้น แต่ถ้าท่านเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติบ่อยๆ เนืองๆ วันหนึ่งปัญญาของท่านก็จะต้องระลึกรู้ แล้วละสิ่งที่ท่านเคยระลึกตอนที่เริ่มเจริญสติปัฏฐานนั่นเอง ซึ่งอารมณ์ก็ไม่ผิดแปลกไปจากขณะปกติธรรมดาที่สติเริ่มเกิดเลย แต่ปัญญารู้ชัดขึ้น แล้วก็ละได้
ถ. ให้เรารู้ว่า ... (ไม่ได้ยิน)
สุ. ให้รู้ถูก แล้วก็ให้รู้ชัด แล้วก็ให้รู้แจ้ง ไม่ใช่เพียงรู้ขั้นการศึกษา ขั้นการศึกษาฟังขณะนี้เข้าใจแล้วว่า สภาพธรรมทั้งหลายไม่เที่ยง เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เกิดแล้วก็ดับไป เป็นอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา นี่เป็นความรู้ขั้นปริยัติ แต่ยังไม่ได้ประจักษ์ลักษณะของสังขารธรรมแต่ละชนิด
ถ. คำว่ารู้แจ้ง
สุ. รู้ถึงลักษณะ แล้วก็ประจักษ์ความเกิดขึ้นและดับไป อย่างเวลานี้ถ้าสติจะระลึกรู้ที่เย็น เย็นนั้นก็หมดไป แต่ยังไม่ได้ประจักษ์ความเกิดขึ้นและดับไปของรูปนั้นจริงๆ และของนามที่รู้รูปนั้นเลย เพราะเหตุว่าสติยังไม่ได้ระลึกรู้ลักษณะของนามและรูปจนทั่ว จนละ จนคลาย แล้วถึงจะประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปของนามและรูปได้
ถ้าเพียงแต่ไปนั่งจ้องที่จะให้ประจักษ์ความดับไปของสิ่งที่กำลังปรากฏ โดยที่ปัญญาไม่ได้รู้ลักษณะของนามของรูปอื่นๆ จนทั่ว ไม่ใช่หนทางที่จะทำให้ประจักษ์การเกิดดับของนามและรูป
มีธรรมปรากฏทุกวัน ทางตาก็มีของจริงที่ปรากฏ ทางหูก็มี ทางจมูกก็มี ทางลิ้นก็มี ทางกายก็มี ทางใจก็มี จะประจักษ์ได้ก็ต่อเมื่อรู้ทั่วในลักษณะของนามและรูปจนชิน และละคลาย ปัญญาคมกล้า ก็จะสามารถประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปของนามธรรมของรูปธรรมได้จริงๆ
เพราะฉะนั้น ท่านที่เจริญสติปัฏฐานจะต้องทราบลักษณะของสีลัพพตปรามาสกายคันถะด้วย
ถ. อาจารย์พูดก็ถูก ผมฟังก็ถูก
สุ. สภาพธรรมไม่ได้เป็นของใครเลย สภาพธรรมเป็นความจริง อกุศลธรรมก็เป็นอกุศลธรรม กุศลธรรมก็เป็นกุศลธรรม ทิฏฐิก็มีความเห็นผิดเป็นลักษณะที่ทำให้เข้าใจข้อประพฤติปฏิบัติผิดไป อวิชชาเป็นสภาพที่ไม่รู้ที่ทำให้ปิดกั้นไม่สามารถที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ เป็นสภาพธรรมแต่ละชนิดซึ่งไม่มีใครเป็นเจ้าของ
เพราะฉะนั้น ท่านผู้ฟังก็ศึกษาพิจารณาเหตุผลว่า การประพฤติอย่างไร การเจริญอย่างไรจึงจะทำให้ปัญญาเจริญแล้วก็รู้มากขึ้น รู้ทั่วขึ้น รู้ชัดขึ้น หรือติดข้องอยู่ในข้อประพฤติปฏิบัติอย่างไร ทำให้ไม่สามารถระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีปรากฏเป็นปกติตามความเป็นจริงได้
อย่างท่านที่เข้าใจว่าจะต้องเข้าวิปัสสนา เป็นสีลัพพตปรามาสกายคันถะไหม สีลัพพตปรามาสกายคันถะ คือ ทิฏฐิ ความเห็นผิดในข้อประพฤติปฏิบัติ ความเห็นผิดก็ขยายกระจายออกไปถึงในการประพฤติปฏิบัติด้วย เพราะว่าไม่ทำให้สติเกิดระลึกรู้ลักษณะสภาพธรรมตามปกติ
