การเจริญสติปัฏฐานเพื่อปัญญาที่รู้ชัด
ถ. คำว่าเนืองๆ บ่อยๆ เข้าใจว่าไม่ได้มีสติอยู่ตลอดเวลา แต่มีสติบ่อยๆ เป็นส่วนมากใช่ไหม
สุ. ในพระไตรปิฎกใช้พยัญชนะว่า ปรารภความเพียร ปรารภ คือ เริ่มตั้ง หรือมีความเพียร มีสติเกิดขึ้นบ่อยๆ เพราะสติเกิดแล้วก็ดับ สติไม่ได้คงอยู่ ไม่ได้ตั้งอยู่ สติระลึกลักษณะของนามใดรูปใดแล้วก็ดับไป แล้วสติก็เกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของนามอื่นรูปอื่นแล้วก็ดับไป แล้วแต่ว่าสติจะระลึกเป็นไปในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม จนกว่าปัญญาจะรู้ชัด
จุดประสงค์ของการเจริญสติปัฏฐาน คือ ปัญญาที่รู้ชัด ไม่ต้องเป็นห่วงเป็นกังวลว่า สติจะเกิดมากหรือน้อย กะเกณฑ์กำหนดวันเวลาไม่ได้
เห็นมีไหม สีมีไหม เพราะฉะนั้น ก็พิจารณาได้ เพื่อให้ปัญญารู้ชัด ได้ยินก็จริง มีจริงๆ เสียงก็มีจริงๆ เป็นของจริงที่จะให้สติระลึกรู้ลักษณะนั้นตามความเป็นจริงได้ [ตอนที่ 80]
ผู้ตื่นมีความหมาย ๒ อย่าง ถ้าหลับจะมีโอกาสพิจารณานามรูปที่กำลังปรากฏ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจบ้างไหม ก็ไม่มี นั่นประการหนึ่ง อีกประการหนึ่ง คือ รู้แจ้ง รู้ชัดในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ เพราะการเจริญสติ ถึงแม้ว่าจะตื่นมาแล้ว แต่ว่าสติไม่ระลึกรู้ลักษณะของนามและรูป การตื่นนั้นก็ไม่ใช่เป็นการรู้ในลักษณะของนามและรูป ยังไม่ชื่อว่าเป็นผู้ตื่นจากกิเลส
ผู้ที่จะตื่นจากกิเลสได้ต้องไม่ใช่ผู้นอนหลับ ผู้ที่มีความเพียร ถ้าตื่นตอนดึก ควรใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้น ขณะใดที่มีนามมีรูป ก็ระลึกรู้ลักษณะของนามและรูป ไม่ต้องเป็นห่วงว่า จะนอนน้อยทำให้เสียสุขภาพ แต่ความจริงในขณะที่นอนหลับนั้น สติไม่ระลึกรู้ลักษณะของนามและรูปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จึงเป็นผู้หลับจริงๆ ส่วนผู้ที่ตื่น ถ้าตื่นแล้วสติไม่ระลึกรู้ลักษณะของนามและรูป ก็ยังไม่ชื่อว่า เป็นผู้ตื่นจากกิเลส
เห็นทางตา ก็มีอวิชชา ไม่รู้ลักษณะของนามและรูปทางตา ได้ยินเสียงทางหู ก็มีอวิชชา ไม่รู้ลักษณะของนามและรูปทางหู เรื่อยๆ ไป ก็ยังเป็นผู้ที่ไม่ตื่นจากกิเลส ถ้าสติไม่ระลึกรู้ลักษณะของนามและรูป [ตอนที่ 80]
เป็นผู้อดทนพอที่จะเจริญสติปัฏฐานไหม โดยมากเข้าใจการเจริญสติปัฏฐานดี แต่ความอดทนยังน้อยมาก เพราะต้องการผลที่รวดเร็ว แต่พระผู้มีพระภาคทรงสรรเสริญความอดทนไว้มากทีเดียว และผู้ที่เจริญสติปัฏฐานเป็นผู้ที่รู้จริงๆ ว่า การเจริญสติปัฏฐานนั้นต้องอาศัยความอดทน ต้องมีความเพียรที่จะระลึกรู้ลักษณะของนามและรูปตามปกติเดี๋ยวนี้ ไม่รอ หรือว่าไม่มีความต้องการที่เอื้อมไป หวังไปถึงนามอื่นรูปอื่นที่ยังไม่ปรากฏ ต้องมีความอดทนที่จะตรงต่อสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แล้วก็พิจารณาเพื่อรู้ชัด
โดยมากกิเลสมักจะทำให้เอื้อมไป จะเจริญสติปัฏฐาน เอื้อมแล้ว เพราะเหตุว่าในขณะนั้นมีนามมีรูปที่กำลังปรากฏ แล้วสติระลึกรู้ลักษณะของนามและรูปนั้น โดยที่ไม่คิดว่าจะเจริญสติปัฏฐาน หรือว่าจะทำวิปัสสนา
เวลาที่มีโลภะมากๆ โทสะมากๆ สติเกิดได้ไหม ท่านหนึ่งตอบว่าได้ อีกท่านหนึ่งตอบว่าไม่ได้ ที่ตอบต่างกันเพราะอะไร ท่านที่ตอบว่าได้ ก็เพราะอบรมเนืองๆ บ่อยๆ ส่วนท่านที่ตอบว่าไม่ได้ ก็เพราะเหตุการอบรมนั้นยังน้อย จะเป็นโลภะ จะเป็นโทสะระดับใดก็ตาม ผู้ที่จะเป็นอริยบุคคล เป็นพระโสดาบันบุคคลนั้น จะไม่ยึดถือว่า ขณะนั้นเป็นตัวตนเลย
เพราะฉะนั้น ในตอนต้นผู้เจริญสติปัฏฐานจะสังเกตได้ว่า กำลังรีบ สติไม่เกิด กำลังโกรธมากๆ หรือชอบใจมากๆ สติไม่เกิด ไม่ใช่โลภะแรงๆ เป็นอุเบกขาธรรมดา ถ้ายังไม่ได้เจริญสติมาก สติก็ไม่เกิด แต่สิ่งใดที่เคยคิดว่าจะรู้ไม่ได้ จะเกิดไม่ได้ เวลาที่สติเจริญขึ้น อบรมให้มีมากขึ้นแล้ว สติย่อมสามารถที่จะรู้ แล้วละการที่เคยไม่รู้ การที่เคยยึดถือนามรูปเป็นปกติในชีวิตธรรมดาได้ [ตอนที่ 80]
อย่างจักขุปสาทเป็นอินทรีย์ เพราะเหตุว่าในรูปทั้งหลายที่ประชุมรวมกันเป็นกาย ถ้าขาดจักขุปสาทแล้ว การเห็นจะมีไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ธรรมชาติที่เป็นใหญ่ในการรับกระทบสีนั้นก็เป็นเพียงรูปชนิดหนึ่ง และเมื่อกระทบกับสีแล้วเป็นปัจจัยให้เกิดการเห็นแล้วก็ดับไป เท่านั้นเอง ไม่ควรเลยที่จะยึดถือว่าเป็นตัวตน
จักขุปสาทจะไม่เปลี่ยนลักษณะเป็นอย่างอื่น ไม่ว่าจะเป็นจักขุปสาทในอดีต หรือว่าจักขุปสาทที่กำลังมีในขณะนี้ หรือว่าจักขุปสาทที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า จักขุปสาทก็เป็นรูปชนิดหนึ่ง เป็นใหญ่ในการรับกระทบสี ซึ่งการเทศนาโดยนัยต่างๆ จะช่วยทำให้ละคลายการที่จะยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน
จักขุปสาท นอกจากจะเป็นอินทรีย์ เป็นใหญ่ในการรับกระทบสี จักขุปสาทนั้นยังเป็นเพียงธาตุชนิดหนึ่งที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล และเมื่อเป็นธรรมชาติที่มีจริง ธรรมชาติที่มีจริงนั้นก็เป็นลักษณะของธาตุที่เป็นรูปชนิดหนึ่งเท่านั้นเอง
โดยนัยของธาตุ ๑๘ ก็เป็นจักขุธาตุ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงโดยพระธรรมเทศนา ได้จัดประเภทไว้ว่า ธรรมที่เป็นอินทรีย์ ธรรมที่เป็นใหญ่นั้นมีทั้งหมด ๒๒ ลักษณะ ส่วนธรรมที่เป็นธาตุ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เป็นแต่เพียงธาตุชนิดต่างๆ นั้น เมื่อสรุปก็เป็นธาตุ ๑๘ แต่ถ้าโดยนัยของพระสูตรแล้ว ทุกอย่างเมื่อไม่ใช่ตัวตนก็เป็นธาตุแต่ละชนิดเท่านั้น
ความต้องการรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เมื่อไม่ใช่ตัวตนก็เป็นธาตุชนิดหนึ่ง สิ่งที่มีจริงแล้วต้องเป็นธาตุแต่ละลักษณะ เป็นกามธาตุ ความต้องการในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ไม่ใช่ตัวตนเลย ที่เคยยึดถือว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน ถ้าแตกย่อยกระจายออกแล้ว ก็เป็นลักษณะของธรรมชาติแต่ละชนิดๆ
ไม่ว่าจะเป็นโลภะ ก็เป็นธรรมชาติชนิดหนึ่ง ไม่ว่าจะละความยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ก็เป็นธาตุชนิดหนึ่ง เป็นเนกขัมมธาตุ
แต่ถ้าจะสรุปลงในประเภทของธาตุ ๑๘ ก็เป็นธัมมธาตุ และจักขุปสาทซึ่งเป็นรูปที่เป็นใหญ่ในการรับกระทบสีนั้น ก็ยังเป็นที่ต่อหรือที่ประชุมของรูป ที่ทำให้เกิดการเห็น
จักขุปสาท รูปที่ผ่องใสที่รับกระทบกับสี เป็นจักขวายตนะ หมายความว่า เป็นที่ต่อกับรูปายตนะ คือ รูปที่กำลังปรากฏกระทบกัน ประชุมกัน ทำให้เกิดการเห็นขึ้น การรู้อย่างนี้จะมีประโยชน์ไหม เพราะเหตุว่าถ้าไม่ศึกษาธรรมที่จะกระจัดกระจายลักษณะของธรรมชาติออกไปเป็นแต่ละลักษณะ ยังคงประชุมรวมกันอยู่เป็นกลุ่มเป็นก้อนทั้งนามทั้งรูปแล้ว การที่จะละคลายการยึดถือว่าเป็นตัวตนนั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น การที่ปัญญาจะเจริญถึงขั้นที่ละจะคลายได้ ก็เพราะรู้ชัดในลักษณะของสิ่งที่มีตามความเป็นจริง ต้องกระจัดกระจายออกเป็นแต่ละลักษณะจริงๆ ไม่ใช่ว่ายังรวมกันอยู่
ถ้าไม่เจริญสติ ก็หมดหนทางที่จะรู้ลักษณะของนามและรูปแต่ละประเภทได้ และท่านยังทรงแสดงไว้ถึงเหตุปัจจัยของแต่ละอย่างด้วย อย่างตาที่อยู่ที่กาย อาศัยดิน น้ำ ไฟ ลม เพราะว่าที่กาย รูปที่เป็นใหญ่เป็นประธานเป็นดิน น้ำ ไฟ ลม แต่จักขุ-ปสาทนั้นเป็นอีกส่วนหนึ่ง เป็นอีกรูปหนึ่ง แต่ไม่ได้แยกจากดิน น้ำ ไฟ ลม ยังคงต้องอาศัยดิน น้ำ ไฟ ลม ที่รวมกันอยู่นั่นเอง
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีดิน น้ำ ไฟ ลม จะมีแต่จักขุปสาทซึ่งเป็นปสาทรูปที่ผ่องใสที่สามารถรับกระทบสีเพียงลำพังไม่ได้เลย
นี่ก็เป็นปฏิจจสมุปปาท คือ ธรรมทั้งหลายที่อาศัยกันเกิดขึ้น ไม่ใช่ว่าเกิดได้โดยลำพัง จะเห็นได้จริงๆ ว่า ที่เรายึดถือว่าเป็นตัวตนนั้น เป็นเพราะเหตุว่ายังไม่รู้ชัดในลักษณะของรูปแต่ละรูปนั่นเอง [ตอนที่ 80]