พิจารณาเห็นกายในกายแต่ละบรรพ


    ในอานาปานบรรพ พิจารณาเห็นกายในกาย ต้องมีลักษณะของรูปที่กายที่ปรากฏโดยความเป็นกาย คือ เป็นรูปไม่ใช่ตัวตน และเห็นธรรม คือ ความเกิดขึ้นและดับไป

    ในกายานุปัสสนาสติปัฏฐานทุกบรรพ ธาตุดินก็ได้ ธาตุไฟก็ได้ ธาตุลมก็ได้ที่กำลังปรากฏ เป็นอารมณ์ให้สติระลึกรู้ชัดสภาพธรรมนั้น เกิดปรากฏแล้วดับไป

    ในหมวดของอิริยาบถบรรพก็เช่นเดียวกัน พิจารณาเห็นกายในกาย มีลักษณะของรูปให้รู้ชัดว่าเป็นรูป และเมื่อพิจารณาเห็นกายในกายแล้ว เห็นธรรม คือ ความเกิดขึ้นและดับไป

    แม้แต่ในเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน เวทนาก็มีหลายอย่าง สุขเวทนาเกิดขึ้น สติระลึกรู้ได้ เพราะเหตุว่าสติเป็นสภาพที่สามารถแทรกระลึกรู้ได้ในอารมณ์ทั้งปวง เพราะฉะนั้น ในเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน เห็นเวทนาในเวทนา เห็นธรรม คือ การเกิดขึ้นแล้วดับไป

    สุขเวทนาก็เป็นธรรม ทุกขเวทนาก็เป็นธรรม อุเบกขาเวทนาก็เป็นธรรม เมื่อผู้นั้นพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา เวทนาไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เห็นความเกิดขึ้นและดับไปของธรรม คือ เวทนา แล้วแต่ว่าจะเป็นสุขเวทนาก็ได้ ทุกขเวทนาก็ได้ อุเบกขาเวทนาก็ได้

    ตลอดไปหมดถึงจิตตานุปัสสนา และธัมมานุปัสสนา

    ถ้าได้ศึกษาโดยละเอียด และได้พิจารณาจริงๆ ท่านก็ประพฤติถูกต้อง และได้ถึงธรรมจริงๆ [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 124]

    ข้อความต่อไปมีว่า

    คำว่า เป็นผู้มีสติ ความว่า เป็นผู้มีสติด้วยเหตุ ๔ ประการ คือ มีสติเจริญสติปัฏฐาน คือ พิจารณาเห็นกายในกาย พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา พิจารณาเห็นจิตในจิต พิจารณาเห็นธรรมในธรรม

    พระอรหันตขีณาสพเหล่านั้นตรัสว่า เป็นผู้มีสติ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พระอรหันตขีณาสพเหล่าใดรู้ทั่วถึงบทนิพพานนี้ เป็นผู้มีสติ

    การที่จะบรรลุธรรมถึงขั้นเป็นพระอรหันต์ได้ ต้องเป็นผู้ที่มีสติ ไม่ว่าตาเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายกระทบสัมผัส ใจคิดนึกต่างๆ ก็ต้องมาจากการเจริญสติจากปุถุชน ซึ่งเป็นการระลึกรู้สภาพธรรมที่มีจริงถูกต้องแล้วก็รู้ชัด รู้ทั่ว ละคลายความไม่รู้มากขึ้น

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 124

    ข้อความต่อไปมีว่า

    คำว่า มีธรรมอันเห็นแล้ว ดับแล้ว

    เวลาที่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ก็ย่อมจะละคลายจนกระทั่งกิเลสดับเป็นสมุจเฉทได้ แต่ไม่ใช่หมายความว่าจะสามารถดับกิเลสกันได้โดยไม่รู้อะไร เพราะเหตุว่าท่านที่พากเพียรจดจ้อง ใช้ความเพียรจ้องที่นามนั้นนามเดียว รูปนั้นรูปเดียว หวังที่จะประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไป ท่านไม่ทราบว่า นั่นเป็นลักษณะของความต้องการที่รอคอยผล เพราะว่าท่านพากเพียรทุกสิ่งทุกอย่างตามสั่ง ทั้งๆ ที่ไม่รู้อะไรทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจตามปกติ ท่านก็เฝ้าแต่รอว่า เมื่อไรญาณจะเกิด ขณะนี้จะเป็นญาณอะไร อีกสักครู่จะเป็นญาณนั้นญาณนี้ นั่นเป็นเรื่องที่เฝ้าแต่รอผล เพราะคิดว่า ท่านสามารถที่จะให้ผลเกิดขึ้นได้โดยไม่รู้ลักษณะของนามรูปตามปกติในชีวิตประจำวัน ข้อความนี้มีว่า

    คำว่า มีธรรมอันเห็นแล้ว ดับแล้ว ความว่า มีธรรมอันเห็นแล้ว คือ มีธรรมอันรู้แล้ว มีธรรมอันเทียบเคียงแล้ว มีธรรมอันพิจารณาแล้ว มีธรรมอันแจ่มแจ้งแล้ว มีธรรมอันปรากฏแล้ว มีธรรมอันเห็นแล้ว มีธรรมอันปรากฏแล้วว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 124]

    คำว่า ดับแล้ว ความว่า ชื่อว่า ดับแล้ว เพราะเป็นผู้ยังราคะ โทสะ โมหะ ความโกรธ ความผูกโกรธ แล้วก็กิเลสอื่นๆ อกุสลาภิสังขารทั้งปวงให้ดับ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า มีธรรมอันเห็นแล้ว ดับแล้ว

    ท่านได้ทรงแสดงพยัญชนะไว้มากทีเดียว สำหรับให้ผู้ที่เจริญสติปัฏฐานได้พิจารณา ได้เทียบเคียงว่า ท่านมีธรรมอันเห็นแล้วจริงๆ หรือไม่ เพื่อที่จะได้ถึงการดับแล้วจริงๆ ซึ่งอกุศลและกิเลสทั้งหลาย เพราะความว่ามีธรรมอันเห็นแล้ว คือ มีธรรมอันรู้แล้ว ตารู้แล้วหรือยัง สีรู้แล้วหรือยัง ได้ยินรู้แล้วหรือยัง เสียงรู้แล้วหรือยัง ก็ควรจะต้องพิจารณาด้วย ที่ตรัสว่ามีธรรมอันเห็นแล้ว คือ มีธรรมอันรู้แล้ว มีธรรมอันเทียบเคียงแล้ว มีธรรมอันพิจารณาแล้ว มีธรรมอันแจ่มแจ้งแล้ว มีธรรมอันปรากฏแล้ว ไม่ปรากฏก็ไม่ได้ สภาพของนามและรูปที่ไม่ใช่ตัวตน ต้องปรากฏโดยความสมบรูณ์แก่ญาณแต่ละขั้น มีธรรมอันเห็นแล้ว มีธรรมอันปรากฏแล้วว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา

    คำว่า ดับแล้ว คือ ดับกิเลสแล้ว ความว่า ชื่อว่าดับแล้ว เพราะเป็นผู้ยังราคะ โทสะ โมหะ ความโกรธ ความผูกโกรธ อกุสลาภิสังขารทั้งปวงให้ดับ เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า มีธรรมอันเห็นแล้ว ดับแล้ว

    ถ้าไม่เห็นแล้ว ไม่มีทางไหนเลยที่จะดับได้

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 124


    หมายเลข 13886
    28 พ.ย. 2568