วิสาขสูตร
อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต วิสาขสูตร มีข้อความว่า
ณ พระวิหารเชตวัน ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงออกจากที่เร้น คือ ออกจากผลสมบัติ ในสายัณหสมัย เสด็จไปยังอุปัฏฐานศาลา ทรงอนุโมทนาที่ท่านวิสาขะ ปัญจลีบุตร ชี้แจงภิกษุทั้งหลายในอุปัฏฐานศาลานั้นให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาอันเป็นวาจาของชาวเมือง สละสลวย ปราศจากโทษ ให้เข้าใจความได้แจ่มแจ้ง นับเนื่องในนิพพาน ไม่อิงวัฏฏะ และพระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
คนที่ไม่พูด ชนทั้งหลายย่อมรู้ไม่ได้ว่าเป็นพาลหรือเป็นบัณฑิต ส่วนคนที่พูด ชนทั้งหลายย่อมรู้ว่าเป็นผู้แสดงอมตบท
บุคคลพึงยังธรรมให้สว่างแจ่มแจ้ง พึงยกย่องธงของฤๅษีทั้งหลาย ฤๅษีทั้งหลายมีสุภาษิตเป็นธง เพราะว่าธรรมเป็นธงของพวกฤๅษี
พวกฤๅษีเป็นพวกแสวงหาธรรม ไม่ใช่แสวงหาลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เพราะฉะนั้น อะไรจะเป็นธงของพวกฤๅษี คงไม่ใช่สิ่งที่ชาวโลกนิยมยกย่องว่าเป็นสิ่งที่น่าปรารถนา แต่ธรรมเป็นธงของพวกฤๅษี
มโนรัตถปูรนี อรรถกถา มีข้อความว่า
โลกุตตรธรรม ๙ ท่านเรียกว่า ธงแห่งฤๅษีทั้งหลาย
สูงที่สุด ธรรมที่เป็นธง คือ โลกุตตรธรรม ๙ ได้แก่ มรรคจิต ๔ ดวง ผลจิต ๔ ดวง นิพพาน ๑
มรรคจิต ๔ คือ โสตาปัตติมรรคจิต ๑ สกทาคามิมรรคจิต ๑ อนาคามิมรรคจิต ๑ อรหัตตมรรค ๑
ผลจิต ๔ คือ โสตาปัตติผลจิต ๑ สกทาคามิผลจิต ๑ อนาคามิผลจิต ๑ อรหัตตผลจิต ๑
และนิพพาน ๑ ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่โลกุตตรจิตประจักษ์แจ้ง ไม่ใช่ธรรมที่เกิดดับที่เป็นเป็นโลกียะ [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 186]
ข้อความในอรรถกถา มีว่า
ที่เรียกว่าธงนั้น ก็เป็นการสรรเสริญยกย่องโลกุตตรธรรมไว้สูงสุดนั่นเอง สุภาษิตที่แสดงโลกุตตรธรรม ๙ ได้ชื่อว่าเป็นธงของฤๅษีเหล่านั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า มีสุภาษิตเป็นธง ฤๅษีทั้งหลายได้แก่พระอริยะทั้งหลาย มีพระผู้มีพระภาค เป็นต้น จริงอยู่ธรรมชื่อว่าเป็นธงของฤๅษีทั้งหลาย
เพราะฉะนั้น โลกุตตรธรรมตามที่กล่าวแล้ว จึงชื่อว่าเป็นธงของฤๅษีทั้งหลาย
ถ้าเห็นข้อความนี้ในพระสูตรอื่นๆ ก็จะเข้าใจได้ว่า ธงของฤๅษีนั้น ไม่ใช่ธง จริงๆ อย่างที่เราเข้าใจ แต่ธรรม คือ ธง และธรรมที่สูงสุด คือ โลกุตตรธรรม ๙ เป็นธงของฤๅษีทั้งหลาย ธรรมเป็นธง แต่ไม่ใช่ธงที่ถือกัน
ที่ได้กล่าวมาแล้วทั้งหมดในชาดกบ้าง ข้อความอื่นๆ บ้าง เพื่อให้ท่านผู้ฟังได้เห็นว่า การรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ต้องอาศัยคุณธรรม เจริญกุศล ขัดเกลากิเลสทุกทาง แม้แต่ทานก็ต้องเป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลส แม้แต่การฟังธรรม ข้อความในพระธรรมทั้งหมดจะไม่ส่งเสริมให้เกิดอกุศลจิต หรือสะสมเพิ่มพูนอกุศลจิต แม้แต่ในขั้นแรก คือการคบบัณฑิต หรือการคบกับสัตบุรุษ ซึ่งในพระไตรปิฎกได้ทรงแสดงไว้ว่า เป็นมงคล ซึ่งจะนำท่านไปสู่ความเป็นพระอรหันต์
นี่เป็นพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงไว้ ถ้าไม่ทราบว่าสิ่งใดจะนำความเจริญมาให้ การคบ การเสพกับอสัตบุรุษ กับคนพาลนั้น จะมีโทษสักแค่ไหน ท่านจะไม่สามารถบรรลุถึงมงคลประการสุดท้าย คือ การเป็นพระอรหันต์ได้เลย เพราะว่าถ้าคบกับสัตบุรุษ คบกับบัณฑิต มีโอกาสได้ฟังสัจธรรม มีโอกาสประพฤติธรรมถูกต้อง ในที่สุดก็สามารถบรรลุคุณธรรมเป็นพระอรหันต์ได้ ในทางตรงกันข้าม ถ้าคบกับคนพาล หรืออสัตบุรุษ ย่อมไม่เกื้อกูลให้รู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง ไม่สามารถเป็นพระอริยเจ้าได้ [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 187]
