มารธีตุสูตร
เรื่องของมารที่ได้กล่าวถึงแล้ว เป็นเทพบุตรมาร มีผู้ถามถึงเรื่องของมารผู้หญิงว่า ผู้หญิงเป็นมารมีไหม ซึ่งเรื่องของความเห็นผิด และอกุศลธรรม ไม่จำกัดว่าเป็นหญิงหรือชาย แต่ถ้าผู้ใดมีความเห็นผิดอย่างรุนแรง ก็เป็นหัวหน้ามาร บุคคลอื่นที่มีความเห็นผิดตามไป ก็เป็นธิดามารบ้าง หรือว่าเป็นมิตรสหาย เป็นพวกพ้องของมารบ้าง
ขอกล่าวถึง สังยุตตนิกาย มารสังยุต มารธีตุสูตร ที่ ๕ ซึ่งเป็นเรื่องของธิดามาร มีข้อความว่า
ครั้งนั้นแล มารธิดาทั้ง ๓ คือ นางตัณหา นางอรดี นางราคาจึงพากันเข้าไปหาพระยามารถึงที่อยู่ ครั้นแล้วจึงถามพระยามารด้วยคาถาว่า
ข้าแต่คุณพ่อ คุณพ่อมีความเสียใจด้วยเหตุอะไร หรือเศร้าโศกถึงผู้ชายคนไหน หม่อมฉันจักผูกผู้ชายคนนั้นด้วยบ่วงคือราคะ นำมาถวาย เหมือนบุคคลผูกช้างมาจากป่า ฉะนั้น ชายนั้นจักตกอยู่ในอำนาจของคุณพ่อ
พระยามารกล่าวว่า
ชายนั้นเป็นพระอรหันต์ ผู้ดำเนินไปดีแล้วในโลก ไม่เป็นผู้อันใครๆ พึงนำมาด้วยราคะได้ง่ายๆ ก้าวล่วงบ่วงมารไปแล้ว เพราะฉะนั้น เราจึงเศร้าโศกมาก [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 297]
ครั้งนั้นแล มารธิดา คือ นางตัณหา นางอรดี นางราคาจึงพากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วกราบทูลพระผู้มีพระภาคอย่างนี้ว่า
ข้าแต่พระสมณะ พวกหม่อมฉันจักขอบำเรอพระบาทของพระองค์
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคมิได้ทรงใส่พระทัยถึงคำของนางมารธิดาเหล่านั้นเพราะพระองค์ทรงน้อมพระทัยไปในความสิ้นอุปธิกิเลสอย่างยอดเยี่ยม
ลำดับนั้นมารธิดา คือ นางตัณหา นางอรดี นางราคาจึงหลีกออกไป ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วร่วมคิดกันอย่างนี้ว่า
ความประสงค์ของบุรุษมีต่างๆ กันแล อย่ากระนั้นเลย พวกเราควรนิรมิตเพศเป็นนางกุมาริกาคนละร้อยๆ
ลำดับนั้น มารธิดา คือ นางตัณหา นางอรดี นางราคาจึงพากันนิรมิตเพศเป็นนางกุมาริกาคนละร้อยๆ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ แล้วกราบทูลพระผู้มีพระภาคอย่างนี้ว่า
ข้าแต่พระสมณะ พวกหม่อมฉันจักขอบำเรอพระบาทของพระองค์
พระผู้มีพระภาคมิได้ทรงใส่พระทัยถึงถ้อยคำของมารธิดา เพราะพระองค์ทรงน้อมพระทัยไปในความสิ้นอุปธิกิเลสอย่างยอดเยี่ยม
ลำดับนั้น มารธิดาทั้ง ๓ คือ นางตัณหา นางอรดี นางราคาพากันหลีกไป ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วร่วมคิดกันอย่างนี้ว่า ความประสงค์ของบุรุษมีต่างๆ กัน อย่ากระนั้นเลย พวกเราควรพากันจำแลงเพศเป็นหญิงยังไม่เคยคลอดบุตรคนละร้อยๆ
ลำดับนั้น มารธิดาทั้ง ๓ คือ นางตัณหา นางอรดี นางราคาจึงพากันจำแลงเพศเป็นหญิงยังไม่เคยคลอดบุตรคนละร้อยๆ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับแล้วกราบทูลพระผู้มีพระภาคอย่างนี้ว่า
ข้าแต่พระสมณะ พวกหม่อมฉันจักขอบำเรอบาทของพระองค์
ถึงอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคก็มิได้ทรงใส่พระทัยถึงเลย เพราะพระองค์ทรงน้อมพระทัยไปในความสิ้นอุปธิกิเลสอย่างยอดเยี่ยม
ฝ่ายนางตัณหา นางอรดี นางราคาพากันหลีกไป ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วร่วมคิดกันอย่างนี้ว่า ความประสงค์ของบุรุษทั้งหลายมีต่างๆ กัน อย่ากระนั้นเลย พวกเราควรจำแลงเพศเป็นหญิงที่คลอดบุตรแล้วคราวเดียวคนละร้อยๆ
ลำดับนั้นแล นางตัณหา นางอรดี นางราคาพากันจำแลงเพศเป็นหญิงคลอดแล้วคราวเดียวคนละร้อยๆ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ แล้วกราบทูล พระผู้มีพระภาคอย่างนี้ว่า
ข้าแต่พระสมณะ พวกหม่อมฉันจะขอบำเรอพระบาทของพระองค์
ถึงอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคก็มิได้ทรงใส่พระทัยถึง เพราะพระองค์ทรงน้อมพระทัยไปในความสิ้นอุปธิกิเลสอย่างยอดเยี่ยม
ลำดับนั้นแล นางตัณหา นางอรดี นางราคาจึงพากันจำแลงเพศเป็นหญิงที่คลอดบุตรแล้ว ๒ คราวคนละร้อยๆ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ….. ฯลฯ
แม้ถึงอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคก็มิได้ทรงใส่พระทัยถึง เพราะพระองค์ทรงน้อมพระทัยไปในความสิ้นอุปธิกิเลสอย่างยอดเยี่ยม
ลำดับนั้น นางตัณหา นางอรดี นางราคาจึงพากันจำแลงเพศเป็นหญิงกลางคนคนละร้อยๆ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ……… ฯลฯ
ถึงอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคก็มิได้ทรงใส่พระทัยถึงเลย เพราะพระองค์ทรงน้อมพระทัยไปในความสิ้นอุปธิกิเลสอย่างยอดเยี่ยม
ลำดับนั้น นางตัณหา นางอรดี นางราคาจึงพากันจำแลงเพศเป็นหญิงผู้ใหญ่คนละร้อยๆ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ……. ฯลฯ
แม้ถึงอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคก็มิได้ทรงใส่พระทัยถึง เพราะพระองค์ทรงน้อมพระทัยไปในความสิ้นอุปธิกิเลสอย่างยอดเยี่ยม
ลำดับนั้น มารธิดา คือ นางตัณหา นางอรดี นางราคาพากันหลีกไป ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว จึงพูดกันว่า เรื่องนี้จริงดังบิดาของเราได้พูดไว้ว่า ชายนั้นเป็นพระอรหันต์ ผู้ดำเนินไปดีแล้วในโลก ไม่เป็นผู้อันใครๆ พึงนำมาด้วยราคะได้ง่ายๆ ก้าวล่วงบ่วงมารไปได้แล้ว เพราะฉะนั้น เราจึงเศร้าโศกมาก ก็ถ้าพวกเราพึงเล้าโลมสมณะหรือพราหมณ์คนใดที่ยังไม่หมดราคะด้วยความพยายามอย่างนี้ หทัยของสมณะหรือพราหมณ์คนนั้นพึงแตก หรือโลหิตอุ่นพึงพุ่งออกจากปาก หรือพึงถึงกับเป็นบ้า หรือถึงความมีจิตฟุ้งซ่าน เหมือนอย่างไม้อ้อสดอันลมพัดขาดแล้ว ย่อมหงอยเหงาเหี่ยวแห้งไป แม้ฉันใด สมณะหรือพราหมณ์นั้น พึงซูบซีด เหี่ยวแห้งไปฉันนั้นเหมือนกัน
ครั้นแล้ว นางตัณหา นางอรดี นางราคาพากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง นางตัณหา มารธิดาครั้นยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า
ท่านถูกความโศกทับถมหรือ จึงได้ซบเซาอยู่ในป่าอย่างนี้ ท่านเสื่อมจากทรัพย์เครื่องปลื้มใจแล้วหรือ หรือว่ากำลังปรารถนาอยู่ ท่านได้ทำความชั่วอะไรๆ ไว้ในบ้านหรือเพราะเหตุไรท่านจึงไม่ทำมิตรภาพกับชนทั้งปวงเล่า หรือว่าท่านทำมิตรภาพกับใครๆ ไม่สำเร็จ
ที่มารธิดากล่าวมา เหมือนกับครั้งที่ ๑ ที่มารกล่าว ไม่ผิดกันเลย ที่มารได้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคแล้วได้กราบทูลข้อความอย่างเดียวกัน แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่มีความเห็นผิดอย่างเดียวกัน ก็กล่าวข้อความอย่างเดียวกัน
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
เราชนะเสนา คือ ปิยรูป และสาตรูป เป็นผู้ๆ เดียวเพ่งอยู่ ได้รู้ความบรรลุประโยชน์ และความสงบแห่งหทัยว่าเป็นความสุข เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ทำความเป็นมิตรกับชนทั้งปวง และความเป็นมิตรกับใครๆ ย่อมไม่อำนวยประโยชน์ให้แก่เรา
ลำดับนั้น นางอรดี มารธิดาได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า
ภิกษุในพระศาสนานี้มีปกติอยู่ด้วยธรรมเป็นเครื่องอยู่อย่างไหนมาก จึงข้ามโอฆะทั้ง ๕ แล้วเวลานี้ได้ข้ามโอฆะที่ ๖ แล้ว กามสัญญาทั้งหลายย่อมห้อมล้อมไม่ได้ซึ่งบุคคลผู้เพ่งฌานอย่างไหนมาก
สำหรับพยัญชนะที่ว่า โอฆะทั้ง ๕ หมายความถึงทางทวาร ๕ นัยหนึ่งหมายความถึงสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ อีกนัยหนึ่ง โอฆะที่ ๖ หมายความถึงมโนทวารอีกนัยหนึ่ง หมายความถึงสังโยชน์เบื้องสูง ๕ อีกนัยหนึ่ง ที่เป็นอย่างนี้ก็เป็นเพราะเหตุว่าบางท่านเว้นห่างไกลจากรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะทางทวารทั้ง ๕ จริง แต่ทางใจระลึกถึงบ้างหรือเปล่า ทางมโนทวาร เพราะถึงแม้ว่าจะไม่ได้ประสบรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่แม้จะอยู่บุคคลเดียว ก็ยังมีนิวรณธรรมซึ่งเป็นกามฉันทะ พยาปาทะเหล่านี้ได้ เพราะฉะนั้น การที่จะละนั้น ก็ด้วยการเจริญฌาน ระงับไว้ประการหนึ่ง และด้วยการรู้แจ้งอริยสัจธรรมอีกนัยหนึ่ง
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
บุคคลมีกายอันสงบแล้ว มีจิตหลุดพ้นดีแล้ว เป็นผู้ไม่มีอะไรๆ เป็นเครื่องปรุงแต่ง มีสติ ไม่มีความอาลัย ได้รู้ทั่วซึ่งธรรม มีปกติเพ่งอยู่ด้วยฌานที่ ๔ อันหาวิตกมิได้ ย่อมไม่กำเริบ ไม่ซ่านไป ไม่เป็นผู้ย่อท้อ ภิกษุในศาสนานี้เป็นผู้มีปกติอยู่ด้วยธรรมเป็นเครื่องอยู่อย่างนี้มาก จึงข้ามโอฆะทั้ง ๕ ได้แล้ว บัดนี้ได้ข้ามโอฆะที่ ๖ แล้วกามสัญญาทั้งหลายย่อมห้อมล้อมไม่ได้ ซึ่งภิกษุผู้เพ่งฌานอย่างนี้มาก
ลำดับนั้นแล นางราคา มารธิดาได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า
พระศาสดาผู้เป็นหัวหน้า ดูแลคณะสงฆ์ ได้ตัดตัณหาขาดแล้ว และชนผู้มีศรัทธาเป็นอันมากจักประพฤติตามได้แน่แท้ พระศาสดานี้เป็นผู้ไม่มีความอาลัย ได้ตัดขาดจากมือมัจจุราชแล้ว จักนำหมู่ชนเป็นอันมากไปสู่ฝั่งพระนิพพาน
อย่าลืมพยัญชนะที่ว่า และชนผู้มีศรัทธาเป็นอันมาก จักประพฤติตามได้แน่แท้
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ตถาคตมีความแกล้วกล้าใหญ่ ย่อมนำสัตว์ไปด้วยพระสัทธรรมแล เมื่อตถาคตนำไปอยู่โดยธรรม ไฉนความริษยาจะพึงมีแด่ท่านผู้รู้เล่า
การที่มารมานี้ จะเห็นได้ว่า ไม่ปรารถนาที่จะให้บุคคลอื่นได้เจริญในธรรม
ข้อความต่อไปมีว่า
ลำดับนั้นแล มารธิดาทั้ง ๓ คือ นางตัณหา นางอรดี นางราคาพากันเข้าไปหาพระยามารถึงที่อยู่ พระยามารเห็นมารธิดา คือ นางตัณหา นางอรดี นางราคามาแต่ไกล ครั้นเห็นแล้วได้กล่าวพ้อด้วยคาถาทั้งหลายว่า
พวกคนโง่ได้พากันทำลายภูเขาด้วยก้านบัว ขุดภูเขาด้วยเล็บ เคี้ยวเหล็กด้วยฟันทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะทำพระโคดมให้เบื่อเข้า ต้องหลีกไป เป็นประดุจบุคคลวางหินไว้บนศีรษะแล้วแทรกลงไปในบาดาล หรือดุจบุคคลเอาอกกระแทกตอ ฉะนั้น
พระศาสดาได้ขับไล่นางตัณหา นางอรดี นางราคาผู้มีรูปน่าทัศนายิ่งซึ่งได้มาแล้วในที่นั้นให้หนีไป เหมือนลมพัดปุยนุ่น ฉะนั้น
พยัญชนะน่าฟังที่ว่า พวกคนโง่พากันทำลายภูเขาด้วยก้านบัว ขุดภูเขาด้วยเล็บ เคี้ยวเหล็กด้วยฟันทั้งหลาย โง่ไหมทำอย่างนั้น จะทำลายภูเขาด้วยก้านบัว จะขุดภูเขาด้วยเล็บ และจะเคี้ยวเหล็กด้วยฟัน
ถ้าพิจารณาธรรมโดยละเอียดรอบคอบจะเห็นว่า การเจริญสติปัฏฐานเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก แม้แต่การที่จะรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงก็ต้องรู้ละเอียด การละการคลาย ก็ต้องละคลายละเอียด จึงจะเป็นการละจริงๆ และการรู้จริงเท่านั้นที่จะละจริงได้ เพราะฉะนั้น อย่าคิดที่จะทำลายภูเขาด้วยก้านบัว นิดๆ หน่อยๆ รู้นามนี้บ้างนามนั้นบ้าง จดจ้องอยู่ที่นั่นบ้าง ที่นี่บ้าง แต่ว่าไม่ได้รู้สภาพธรรมตามปกติตามความเป็นจริง
จะเห็นข้อความที่มารสำนึกว่า การขัดขวางพระผู้มีพระภาคด้วยประการต่างๆ นั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เหมือนกับพวกคนโง่ที่พากันทำลายภูเขาด้วยก้านบัว ขุดภูเขาด้วยเล็บ เคี้ยวเหล็กด้วยฟันทั้งหลาย เพราะเหตุว่าผู้ที่ได้ตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงจนหมดสิ้นกิเลส แม้กิเลสอย่างละเอียดซึ่งเป็นอนุสัยก็ไม่มี เมื่อบุคคลอื่นพยายามที่จะขัดขวางด้วยการกระทำทั้งที่น่ายินดีและน่ายินร้ายต่างๆ บุคคลผู้ไม่มีกิเลส ย่อมไม่หวั่นไหว เพราะเหตุว่าได้รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงแล้ว
เพราะฉะนั้น ควรที่จะพิจารณาว่า มีความหวั่นไหวมากน้อยเท่าไรในความยินดียินร้ายในโลกธรรม ทั้งฝ่ายอิฏฐารมณ์ และอนิฏฐารมณ์ ซึ่งถ้าไม่ประจักษ์สภาพธรรมตามความเป็นจริง ที่จะไม่หวั่นไหวเป็นไปได้ไหม ที่จะไม่ให้เกิดโลภะ ไม่ให้เกิดโทสะไม่ให้เกิดโมหะ เป็นไปไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าสภาพธรรมทั้งหลายนั้น ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา แต่ว่าเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 298]
