ฟังแล้วก็ยังรู้โดยชื่อ
ถ. ขอความกรุณาให้ท่านอาจารย์กล่าวถึงกรรมที่จะนำปฏิสนธิในภูมิต่อไปตามลำดับ เพื่อความเข้าใจ
สุ. ยังไม่ถึง ตอนนี้ถึงลักษณะของจิต และจำแนกประเภทของจิตเป็นประเภทต่างๆ เพื่อจะได้เข้าใจ ก่อนที่จะเริ่มกามาวจรจิตจริงๆ เพื่อที่จะให้สติเกิดระลึกได้ว่า จิตมีหลายชนิด ที่เป็นกุศลก็มี อกุศลก็มี และให้ทุกท่านรู้จักตัวเองตามความเป็นจริงว่า ชีวิตประจำวันของท่านเป็นจิตขั้นไหน ระดับไหน และถ้าจะเกิดต่อไปก็จะไม่พ้นจากอบายภูมิ ๑ ใน ๔ หรือว่าสุคติภูมิ ๑ ใน ๗
จิตวิจิตรมาก ใครรู้ ตัวของท่านเองรู้ หรือไม่รู้ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมโดยละเอียดจะรู้ได้ไหม หรือถึงแม้จะฟังแล้วก็ยังรู้โดยชื่อ แต่ไม่ได้รู้ลักษณะของจิตที่กำลังเกิดปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริง
ท่านที่ศึกษาเรื่องอเหตุกจิต คือ จิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุ ๑๘ ดวง ซึ่งต่อไปท่านผู้ฟังก็จะได้ยินได้ฟังตามลำดับ แต่ท่านที่อาจจะได้เคยฟังมาแล้วหรือว่าเคยศึกษามาแล้วก็ทราบเรื่องของอเหตุกจิต คือ จิตที่ไม่ประกอบด้วยเจตสิกซึ่งเป็นเหตุ ๖ ดวง ว่า อเหตุกจิตทั้งหมดมี ๑๘ ดวง และท่านก็สามารถจะกล่าวถึงชื่อได้ว่า ได้แก่ จักขุวิญญาณกุศลวิบาก ๑ ดวง อกุศลวิบาก ๑ ดวง โสตวิญญาณกุศลวิบาก ๑ ดวง อกุศลวิบาก ๑ ดวง นี่เป็นการศึกษาเรื่องชื่อ แต่ว่ากำลังเห็นนี่ ไม่ต้องบอกเลยว่า กุศลวิบาก ๑ ดวง หรือว่าอกุศลวิบาก ๑ ดวง
เพราะฉะนั้น ถ้าท่านศึกษาธรรมแล้ว แต่ไม่อบรมเจริญสติปัฏฐาน ธรรมทั้งหมดที่ท่านได้ฟัง ได้ศึกษา เป็นเพียงชื่อ ซึ่งแท้ที่จริงแล้วธรรมทั้งหมดไม่ใช่ชื่อ เป็นปรมัตถธรรม เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ถ้าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสรู้ ไม่ทรงบัญญัติศัพท์ที่จะให้บุคคลอื่นสามารถเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมได้ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ก็ไม่มีบุคคลใดที่จะรู้จักจักขุวิญญาณว่า เป็นสภาพที่ไม่ใช่ตัวตน และไม่ใช่ชื่อ แต่เป็นในขณะที่กำลังเห็น เป็นปกติในชีวิตประจำวัน ซึ่งถึงแม้จะไม่ใช้คำว่า จักขุวิญญาณ แต่ถ้าสามารถที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นธาตุรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา นั่นก็เป็นการรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริง ที่เป็นปรมัตถธรรม ซึ่งเป็นขณะจิตหนึ่งในชีวิตของแต่ละคน เพราะแต่ละคนก็ดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิตหนึ่งๆ ที่เรียกว่า ชีวิต
ชีวิตของใครจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น สุขสบาย ทุกข์ยาก ลำบากมากน้อยสักแค่ไหน จะเห็นอะไรได้ยินอะไร ทั้งหมดให้ทราบว่า แท้ที่จริงแล้วก็เป็นเพียงชั่วขณะจิตหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นและดับไป เพราะฉะนั้น แม้ว่าจะเป็นชีวิตของแต่ละท่าน และไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว ในอดีตอนันตชาติ และยังมีชาติข้างหน้าอีกมากมายก่อนที่จะได้รู้แจ้งอริยสัจธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์ที่จะปรินิพพาน คือ ดับการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส การคิดนึกใดๆ ทั้งสิ้น เป็นความดับสนิทจริงๆ ก็คงจะอีกมากมายหลายชาติ แต่ว่าลักษณะของสภาพธรรมซึ่งเกิดขึ้นแต่ละขณะๆ สามารถที่จะรู้ได้ไหม ถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรมโดยละเอียด และไม่ใช่โดยชื่อ แต่ว่าโดยการพิจารณาสภาพธรรมที่ได้ศึกษาในขณะที่สภาพธรรมนั้นกำลังปรากฏ
เพราะฉะนั้น จึงมีผู้อุปมาพระปัญญาคุณของพระผู้มีพระภาคว่า ที่ทรงแสดงลักษณะต่างๆ ของจิต และภูมิต่างๆ ซึ่งเป็นที่เกิดของจิตนั้น อุปมาเหมือนกับการทรงนับดาวบนท้องฟ้าในจักรวาล
ทุกท่านลองมองดู บางคืนฟ้ามืดดาวมากมาย ลองนับ นับไหวไหม เดี๋ยวดวงนั้นก็พร่า เดี๋ยวดวงนั้นก็กระพริบ ไม่มีทางที่จะรู้ได้เลย ดวงไหนอยู่ไกล ดวงที่ปรากฏก็ดูเหมือนใหญ่ กว้างไกลออกไปอีกสักเท่าไร แต่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเรื่องของจิตและเรื่องของภูมิซึ่งเป็นที่เกิดไว้มากมาย ซึ่งบุคคลธรรมดาย่อมไม่สามารถที่จะรู้ตามได้ แม้ว่าจะเป็นท่านพระสารีบุตร ก็ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงรู้แจ้งโลก ทรงเป็นโลกวิทู เพราะฉะนั้น อย่าคิดว่า พระผู้มีพระภาคจะทรงมีพระปัญญาคุณเพียงเล็กน้อย คือ สามารถรู้แจ้งสภาพธรรมเพียงในโลกนี้ [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 997]
