ถ้าสติไม่ระลึกรู้ ก็มีสิ่งที่กำบังตา
ข้อความที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย นั่นมิใช่พราหมณ์ นั่นเป็นมารผู้มีบาป มาเพื่อกำบังตาเธอทั้งหลาย
รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ใดๆ ที่เกิดปรากฏ ควรจะเป็น สติปัฏฐาน คือ สติควรจะระลึกแล้วรู้ชัดในสภาพของนามธรรมและรูปธรรมนั้นๆ แต่สิ่งที่กำบังตา คือ ไม่ให้เห็น ไม่ให้รู้แจ้งในสภาพธรรมนั้นตามความเป็นจริงช่างมากเสียเหลือเกิน ถ้ามีอะไรที่น่าสนใจ ที่ดึงดูดความสนใจผิดจากปกติ ก็เป็นสิ่งที่กำบังตาไม่ให้เห็นสภาพธรรมนั้นตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น เมื่อท่านพระภิกษุเหล่านั้นท่านเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน บุคคลใดที่มีเพศผิดแผกจากปกติ และกล่าวข้อความที่ผิดแผกจากปกติ ชักชวนในทางที่ไม่ตรง ทำให้สติของท่านพระภิกษุเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมที่กำลังปรากฏขณะใด ขณะนั้นบุคคลนั้น ก็สามารถที่จะกระทำสิ่งที่กำบังตา คือ ไม่ให้รู้ชัดในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้น
เพราะฉะนั้น คงจะไม่สงสัยในพยัญชนะที่ว่า กำบังตา คือ ไม่ให้เห็นสภาพธรรมนั้นตามความเป็นจริง
ถ. คำพูดที่อาจารย์กล่าวน่าฟังมาก ผู้ฟังก็คงจะเห็นต่างๆ กัน และก็เข้าใจต่างๆ กัน เป็นสมมติบัญญัติ ความจริงที่อาจารย์กล่าวนี้ ผู้เห็นได้ คือ ความจริงนั้น ท่านกล่าวว่าไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ชีวิต ไม่ใช่บุคคล หมายความว่าเป็นเพียงสภาวะเท่านั้นอย่างนี้ผู้ใดเป็นผู้เห็นได้ ผู้กล่าวเห็น หรือผู้ปฏิบัติเห็น
สุ ถ้าสติไม่เกิด ปัญญาก็ไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นสติของบุคคลใดเกิดขึ้น อบรมเจริญ ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เนืองๆ บ่อยๆ สังเกต สำเหนียกจนกระทั่งเป็นความรู้ที่ชัดขึ้น รู้แจ้ง รู้ทั่วขึ้นเมื่อใด ผู้นั้นก็สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ โดยไม่จำกัดว่า บุคคลนั้นคนเดียวเท่านั้นถึงจะรู้ได้ บุคคลอื่นรู้ไม่ได้ แล้วแต่ว่าบุคคลใดสะสมเหตุ คือ การเจริญสติปัฏฐานอบรมปัญญาให้เกิดปัญญาที่รู้ชัด เป็นปัญญาที่สมบูรณ์ ที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ก็สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้
มีอะไรกำบังตาหรือไม่ โดยมากไม่รู้ ถ้าไม่ใช่เป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน จริงๆ นามธรรมอะไร สติระลึกรู้หรือเปล่า รูปธรรมอะไรที่กำลังมีลักษณะปรากฏ สติระลึกรู้หรือเปล่า เวทนาอะไรที่กำลังปรากฏ สติระลึกรู้หรือเปล่า ถ้าสติไม่ระลึกรู้ ในขณะนี้ ก็มีสิ่งที่กำบังตาอีก
เพราะฉะนั้น การฟังเรื่องการอบรมเจริญสติปัฏฐาน เกื้อกูล อุปการะให้สติเกิดขึ้นฉับพลันทันทีเองได้ ถ้าท่านรู้ว่าขณะที่มีสติ คือ กำลังรู้ในลักษณะที่เป็นปรมัตถธรรม จะเป็นทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือใจก็ได้
ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคจึงได้ทรงแสดงธรรมซ้ำไปซ้ำมาในเรื่องของตา หูจมูก ลิ้น กาย ใจ โดยไม่เว้นที่จะทรงแสดงพยัญชนะโดยละเอียด เพื่อให้ผู้ฟังที่ขณะนั้นหลงลืมสติ สติจะได้เกิดระลึกรู้ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมที่กำลังปรากฏทันที
และที่พระผู้มีพระภาคตรัสถาม บุคคลที่มีสติกำลังระลึกรู้ลักษณะของนามและรูปก็ตอบ เพราะว่ารู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้นตรงกับพระธรรมที่ได้ทรงแสดง เช่น ขณะที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา กำลังเห็นไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน สีสันวัณณะที่กำลังปรากฏให้รู้ได้ทางตา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน สติของบุคคลนั้นเกิดขึ้นประจักษ์ในอรรถ ความหมายที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า การเห็น หรือสีสันวัณณะที่กำลังปรากฏเป็นตัวตนใช่หรือไม่ ท่านพระภิกษุเหล่านั้นจึงกราบทูลได้ว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา แล้วแต่ปัญญาของผู้ใดจะอบรมจนกระทั่งรู้ชัด และก็ระลึกทันที
ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคจึงได้ทรงแสดงพระธรรมซ้ำแล้วซ้ำอีก เรื่องของนามธรรมและรูปธรรมทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจนั่นเอง [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 295]
