เรื่องตายแล้วฟื้น
ถ . อย่างที่ชาวบ้านพูดกันว่า ตายแล้วกลับฟื้นขึ้นมาอีก ผมยังมีข้อสงสัยว่า จะถือว่าเป็นการตายหรือเปล่า หรือว่าเป็นการสิ้นสติ คือ ไม่ได้ประสบกับตัวเอง ก็เลยไม่ทราบว่าผู้ที่ป่วยนั้นตายจริงหรือเปล่า ซึ่งเรื่องการตายนี้ โดยปกติที่เข้าใจ หมายถึงว่าไม่มีการหายใจ หรือเมื่อจับชีพจรดูปรากฏว่าไม่มีการเต้น ก็เข้าใจว่าผู้นั้นตาย แต่ที่บรรดาหมู่ญาติเข้าใจว่าผู้นั้นได้ตายไปแล้ว แต่กลับฟื้นขึ้นมาอีก มาเล่าเรื่องต่างๆ ที่ตนเองได้ไปประสบ ผมอยากจะเรียนถามอาจารย์ถึงเรื่องการตาย
สุ . สำหรับเรื่องนี้ ถ้าท่านจะยกหลักปรมัตถธรรมขึ้นวินิจฉัย ก็พอจะวินิจฉัยได้ว่า ตราบใดที่จุติจิตยังไม่เกิดขึ้นและดับไป บุคคลนั้นยังไม่สิ้นชีวิตเท่านั้นเอง ต้องถือหลักปรมัตถ์ การเข้าใจว่าคนนั้นตายแล้ว ก็เป็นเรื่องของความเข้าใจ ซึ่งอาจจะเข้าใจอย่างนั้นก็ได้ เหมือนอย่างผู้ที่เข้านิโรธสมาบัติ ดับจิตเจตสิก ไม่ให้เกิดในระหว่างที่เป็นนิโรธสมาบัติ บุคคลอื่นก็คิดว่าผู้นั้นตาย เพราะว่าไม่มีจิตเลย ไม่มีสภาพรู้เลย ยิ่งเสียกว่าคนที่กำลังนอนหลับ เพราะว่าคนที่กำลังนอนหลับ จิตเกิดดับสืบต่อกันทุกขณะ แต่ผู้ที่เข้านิโรธสมาบัติแล้ว ดับจิตเจตสิกในระหว่างที่เป็นนิโรธสมาบัติ ทำให้บุคคลอื่นคิดว่าตาย
เพราะฉะนั้น การที่จะเข้าใจว่าบุคคลอื่นตาย อาจจะเกิดจากการคิด พิจารณา วินิจฉัยของแต่ละบุคคล โดยหัวใจไม่เต้น หรือโดยชีพจรไม่มี หรืออะไรก็ตาม แต่ว่าตามหลักปรมัตถธรรมแล้ว ถ้าจุติจิตยังไม่เกิดขึ้นและดับไป บุคคลนั้นยังไม่สิ้นชีวิต แม้แต่ผู้ที่เข้านิโรธสมาบัติ ดับจิตเจตสิก แต่จุติจิตยังไม่เกิดขึ้นและดับไป เพราะฉะนั้น ยังไม่สิ้นชีวิต
ใช้คำว่า นิโรธ ดับ นิโรธสมาบัติ เพราะเหตุว่ายังไม่ใช่ปรินิพพาน เรื่องอย่างนี้เต็มไปด้วยความสงสัย เ พราะเหตุว่าไม่สามารถที่จะรู้ขณะจิตของบุคคลนั้นได้ว่า จุติจิตเกิดหรือยัง ดับหรือยัง แม้ในครั้งที่พระผู้มีพระภาคจะปรินิพพาน ท่านพระอนุรุทธะซึ่งเป็นเอตทัคคะในจักษุทิพย์ เป็นผู้ที่เข้าฌาน และตามรู้วาระจิตของพระผู้มีพระภาคตามลำดับขั้น จนกระทั่งรู้ว่าขณะใดจุติจิตของพระองค์เกิดขึ้น และดับไปเป็นปรินิพพาน แต่ถ้าเป็นบุคคลอื่น ก็ไม่สามารถจะรู้อย่างนั้นได้ ได้แต่วินิจฉัยตามความคิดความเข้าใจว่า บุคคลนั้นตายแล้ว
นี่เป็นเรื่องยาก ถ้าพ้นวิสัยของท่านผู้ฟัง ก็ไม่ต้องกังวลถึง เพียงแต่ว่ารับฟังสิ่งที่จะเป็นประโยชน์เกื้อกูลให้ท่านเจริญสติ เจริญกุศลมากยิ่งขึ้น แม้แต่ในเรื่องภพภูมิที่เป็นนรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย ก็ไม่ต้องไปกังวลว่าอยู่ที่ไหน มีไหม รูปร่างเป็นอย่างไร หรืออะไร เพียงแต่ให้ทราบว่า ถ้าเหตุมี ผลย่อมมีได้ และการที่จะพ้นจากผลเช่นนั้น จะต้องเจริญกุศลจนถึงขั้นที่เป็นพระอริยเจ้า จึงจะดับการเกิดในอบายภูมิได้ [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 245]
