ปลีกตัวออกไปปฏิบัติวิปัสสนา


    สำหรับคำถามข้อ ๑ ที่ถามว่า การปลีกตัวออกไปปฏิบัติวิปัสสนาที่ว่าเป็นอัตตา มีว่าไว้ในพระสูตรไหน คัมภีร์ไหน

    ซึ่งการพิจารณาธรรมนั้น จะต้องพิจารณาโดยตลอดทั้ง ๓ ปิฎก ไม่ใช่เพียงขอชื่อสูตร

    ขอกล่าวถึง มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสถ์ สัปปุริสสูตร ที่มีข้อความว่า

    ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย

    ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงสัปปุริสธรรม และอสัปปุริสธรรมแก่พวกเธอ เธอทั้งหลายจงฟังธรรมนั้น จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าวต่อไป

    ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า

    ชอบแล้ว พระพุทธเจ้าข้า

    สัปปุริสธรรม คือ ธรรมของผู้สงบกิเลส อสัปปุริสธรรม คือ ผู้ที่ไม่ใช่สัตบุรุษ

    ที่มา ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 151

    ข้อความต่อไปมีว่า

    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย อสัปปุริสธรรมเป็นอย่างไร คือ อสัตบุรุษในโลกนี้เป็นผู้ออกจากสกุลสูง บวชแล้ว ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เราเป็นผู้ออกจากสกุลสูง บวชแล้ว ส่วนภิกษุอื่นเหล่านี้มิใช่เป็นผู้ออกจากสกุลสูง บวชแล้ว อสัตบุรุษนั้นจึงยกตนข่มผู้อื่น เพราะความเป็นผู้มีสกุลสูงนั้น

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย นี้คือ อสัปปุริสธรรม

    ส่วนสัตบุรุษแล ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ธรรม คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ย่อมไม่ถึงความหมดสิ้นไปเพราะความเป็นผู้มีสกุลสูงเลย ถึงแม้ภิกษุไม่ใช่เป็นผู้ออกจากสกุลสูง บวชแล้ว แต่เป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบ ประพฤติธรรมอันสมควร คนทั้งหลายก็ต้องบูชาสรรเสริญเธอในที่ นั้นๆ สัตบุรุษนั้นทำการปฏิบัติแต่ภายในเท่านั้น ไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะความเป็นผู้มีสกุลสูงนั้น

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย นี้คือ สัปปุริสธรรม

    ขอให้สังเกตพยัญชนะ ละอาคารบ้านเรือนแล้ว เป็นผู้ที่ศรัทธาที่จะสละกิเลส แต่เป็นอสัปปุริสธรรม หรือเป็นอสัตบุรุษ

    ข้อความต่อไปมีว่า

    ความโลภ ความโกรธ ความหลง ย่อมไม่ถึงความหมดสิ้นไปเพราะความเป็นผู้มีสกุลใหญ่ เพราะความเป็นผู้มีโภคะมาก เพราะเป็นผู้ปรากฏมียศ เพราะเป็นผู้ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร เพราะความเป็นพหูสูต เพราะความเป็นพระวินัยธร เพราะความเป็นพระธรรมกถึก เพราะเป็นผู้อยู่ป่าเป็นวัตร เป็นผู้ทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร อยู่โคนไม้เป็นวัตร อยู่ป่าช้าเป็นวัตร อยู่กลางแจ้งเป็นวัตร ถือการฉันในอาสนะเดียวเป็นวัตร

    ข้อความต่อไป

    ความโลภ ความโกรธ ความหลง ย่อมไม่ถึงความหมดสิ้นไป เพราะได้ ปฐมฌาน เป็นต้นไป จนถึงเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน

    สำหรับข้อความเรื่องการอยู่ป่า ซึ่งก็จะตรงกับปัญหาของท่านที่ข้องใจ ข้อความโดยตรงจากพระไตรปิฎกมีว่า

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก อสัตบุรุษเป็นผู้อยู่ป่าเป็นวัตร ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เราเป็นผู้อยู่ป่าเป็นวัตร ส่วนภิกษุอื่นเหล่านี้ไม่ใช่เป็นผู้อยู่ป่าเป็นวัตร อสัตบุรุษนั้นจึงยกตนข่มผู้อื่น เพราะความเป็นผู้อยู่ป่าเป็นวัตรนั้น

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย แม้นี้ก็คือ อสัปปุริสธรรม

    ส่วนสัตบุรุษแล ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ธรรม คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ย่อมไม่ถึงความหมดสิ้นไปเพราะความเป็นผู้อยู่ป่าเป็นวัตร ถึงแม้ภิกษุไม่ใช่เป็นผู้อยู่ป่าเป็นวัตร แต่เป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบ ประพฤติธรรมอันสมควร คนทั้งหลายก็ต้องบูชาสรรเสริญเธอในที่นั้นๆ

    สัตบุรุษนั้นทำการปฏิบัติแต่ภายในเท่านั้น ไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะความเป็นผู้อยู่ป่าเป็นวัตรนั้น

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย แม้นี้ก็คือ สัปปุริสธรรม

    จะตรงกับข้อข้องใจของท่านไหมที่ว่า การปลีกตัวออกไปปฏิบัติวิปัสสนาเป็นอัตตามีกล่าวไว้ในพระสูตรไหน คัมภีร์ไหน ถ้ายังไม่หมดอัตตา ก็ต้องเป็นอัตตา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม เพราะฉะนั้น การที่จะละการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นอัตตาได้ ก็ด้วยการเจริญสติปัฏฐานเป็นปกติ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนนั่นเอง และโดยเฉพาะในเรื่องของปฐมฌาน ข้อความในพระไตรปิฎกมีว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก อสัตบุรุษสงัดจากกาม สงัดจาก อกุศลธรรม เข้าปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติ และสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เราเป็นผู้ได้ปฐมฌานสมาบัติ ส่วนภิกษุอื่นเหล่านี้ไม่ใช่เป็นผู้ได้ปฐมฌานสมาบัติ อสัตบุรุษนั้นจึงยกตนข่มผู้อื่นด้วยปฐมฌานสมาบัตินั้น

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย แม้นี้ก็คือ อสัปปุริสธรรม

    ถ้าไม่เจริญสติเป็นปกติแล้ว อยู่ป่าได้ฌาน ก็ยังเป็นเรา เป็นอสัตบุรุษ

    เพื่อที่จะให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ขอกล่าวถึงข้อความอื่นๆ

    ใน ทุติยสมันตปาสาทิกาแปล สังฆาทิเสส สิกขาบทที่ ๑๐ ปฐมสังฆเภท สิกขาบทวรรณา แก้อรรถปฐมบัญญัติ เรื่องพระเทวทัต

    พระเทวทัตทูลขอพระวโรกาส มีความว่า

    ภิกษุทั้งหมดสมาทานอรัญญิกธุดงค์แล้ว จงเป็นผู้อยู่ป่าเป็นวัตร คือ จงอยู่แต่ในป่าเท่านั้นตลอดชีวิต

    พระเทวทัตกล่าวด้วยความประสงค์ว่า ภิกษุใด คือ แม้ภิกษุรูปหนึ่งละป่าเข้าสู่เขตบ้าน เพื่อต้องการจะอยู่ โทษพึงต้องภิกษุนั้น คือ โทษจะต้องภิกษุนั้น ได้แก่ พระผู้มีพระภาคจงทรงปรับภิกษุนั้นด้วยอาบัติ แม้ในวัตถุที่เหลือ ก็มีนัยเหมือนกันนี้

    ในวัตถุที่เหลือ ก็ในเรื่องของโคนไม้ เป็นต้น

    พระประสงค์ของพระผู้มีพระภาคในข้อนี้มีว่า

    กุลบุตรควรทราบความประสงค์ของพระผู้มีพระภาคแล้ว ทราบความสมควรแก่ตน

    จริงอยู่ความประสงค์ของพระผู้มีพระภาคในคำว่า โย อิจฺฉติ เป็นต้นนี้ มีดังนี้

    ภิกษุรูปหนึ่งมีอัธยาศัยใหญ่ มีอุตสาหะมาก ย่อมสามารถเพื่องดเสนาสนะใกล้แดนบ้านเสียแล้ว อยู่ในป่า กระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้

    ภิกษุรูปหนึ่งมีกำลังอ่อนแอ มีเรี่ยวแรงน้อย ย่อมไม่สามารถจะอยู่ในป่า กระทำที่สุดทุกข์ได้ สามารถกระทำที่สุดทุกข์ได้แต่ในคามเขตเท่านั้น

    รูปหนึ่งมีกำลังมาก มีธาตุเป็นไปสม่ำเสมอ สมบรูณ์ด้วยอธิวาสนขันติ มีจิตคงที่ในอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์ ย่อมสามารถทั้งในป่า ทั้งในเขตบ้านได้ทั้งนั้น

    รูปหนึ่งไม่อาจทั้งในเขตบ้าน ทั้งในป่า คือ เป็นปทปรมบุคคล

    บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุนี้ใดมีอัธยาศัยใหญ่ มีอุตสาหะมาก ย่อมสามารถเพื่องดเสนาสนะใกล้แดนบ้านเสียแล้ว อยู่ในป่า กระทำที่สุดทุกข์ได้ ภิกษุรูปนั้นจงอยู่ในป่าเท่านั้นเถิด การอยู่ในป่านี้สมควรแก่เธอ แม้พวกสัทธิวิหาริกเป็นต้นของเธอ ศึกษาตามอยู่ จักสำคัญข้อที่ตนควรอยู่ในป่าด้วย

    อนึ่ง ภิกษุรูปใดมีกำลังอ่อนแอ มีเรี่ยวแรงน้อย ย่อมอาจจะกระทำที่สุดทุกข์ได้ในแดนบ้านเท่านั้น ในป่าไม่อาจ ภิกษุนั้นจงอยู่แต่ในเขตบ้านเท่านั้นก็ได้

    ส่วนภิกษุรูปใดซึ่งมีกำลังแข็งแรง มีธาตุเป็นไปสม่ำเสมอ สมบูรณ์ด้วยอธิวาสนขันติ มีจิตคงที่ในอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์ ย่อมอาจทั้งในป่า ทั้งในแดนบ้านทีเดียว แม้รูปนี้จงละเสนาสนะใกล้แดนบ้านเสียแล้ว อยู่ในป่าเถิด การอยู่ในป่านี้สมควรแก่เธอ แม้พวกสัทธิวิหาริกเป็นต้นของเธอ เมื่อศึกษาตามอยู่ จักสำคัญข้อที่ตนควรอยู่ในป่า

    ส่วนภิกษุนี้ใดซึ่งไม่อาจกระทำที่สุดทุกข์ได้ คือ ไม่อาจที่จะบรรลุมรรคผลได้ทั้งในแดนบ้าน ไม่อาจทั้งในป่า เป็นปทปรมบุคคล แม้รูปนี้ก็จงอยู่ในป่านั้นเถิด เพราะว่าการเสพธุดงคคุณ และการเจริญกัมมัฏฐานนี้ของเธอ จักเป็นอุปนิสสัยเพื่อมรรคและผลต่อไปในอนาคต แม้พวกสัทธิวิหาริกเป็นต้นของเธอ เมื่อศึกษาตามอยู่ จักสำคัญข้อที่ตนควรอยู่ป่า ฉะนี้แล

    ภิกษุนี้ใดซึ่งเป็นผู้มีกำลังอ่อนแอ มีเรี่ยวแรงน้อยอย่างนี้ เมื่ออยู่ในแดนบ้านเท่านั้น จึงอาจเพื่อจะทำที่สุดทุกข์ได้ ในป่าไม่อาจ พระผู้มีพระภาคทรงหมายถึงบุคคลเช่นนี้ จึงตรัสว่า

    ภิกษุใดปรารถนา ภิกษุนั้นจงอยู่ในแดนบ้านเถิด ดังนี้ และบุคคลนี้ได้ให้ช่อง แม้แก่คนเหล่าอื่น

    ก็ถ้าว่า พระผู้มีพระภาคพึงทรงรับรองวาทะของพระเทวทัตไซร้ บุคคลนี้ใดซึ่งมีกำลังอ่อนแอ มีเรี่ยวแรงน้อยตามปกติ ถึงบุคคลใดสามารถอยู่ในป่าสำเร็จได้ แต่ในเวลายังเป็นหนุ่ม ต่อมาในเวลาแก่ตัวลง หรือในเวลาเกิดธาตุกำเริบ เพราะลมและดีเป็นต้น อยู่ป่าไม่สำเร็จ แต่เมื่ออยู่ในแดนบ้านเท่านั้น จึงอาจกระทำที่สุดทุกข์ได้ บุคคลเหล่านั้นจะพึงสูญเสียอริยมรรคไป ไม่พึงบรรลุอรหัตตผลได้ สัตถุศาสน์นี้จะพึงกลายเป็นนอกธรรม นอกวินัย ยุ่งเหยิง ไม่เป็นไปเพื่อนำออกจากทุกข์ และพระศาสดาจะพึงเป็นผู้มิใช่พระสัพพัญญูของบุคคลจำพวกนั้น ทั้งจะพึงถูกตำหนิติเตียนว่า ทรงทิ้งวาทะของพระองค์เสีย ไปตั้งอยู่ในวาทะของพระเทวทัต ดังนี้

    เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาค เมื่อจะทรงสงเคราะห์บุคคลทั้งหลายผู้เห็นปานนี้ จึงทรงปฏิเสธวาทะของพระเทวทัตในเรื่องแห่งภิกษุผู้ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ผู้ถืออยู่โคนไม้เป็นวัตร พึงทราบวินิจฉัยโดยอุบายนี้นั้นแล

    แสดงให้เห็นว่า การอยู่ป่าจริงๆ ยากลำบากมาก เฉพาะบางท่านที่มีอัธยาศัยใหญ่ มีอุตสาหะมาก มีกำลังแข็งแรง มีเรี่ยวแรงมาก จึงจะอยู่ในป่าและกระทำที่สุดทุกข์ได้ แต่ส่วนบุคคลอื่นนั้นไม่สามารถที่จะอยู่ในป่า อยู่ในบ้านก็กระทำที่สุดทุกข์ได้ เพราะฉะนั้น จึงไม่ทรงรับรองวาทะของพระเทวทัต

    ที่มา ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 152


    หมายเลข 13722
    28 พ.ค. 2568