รู้นามธรรมอะไร รูปธรรมอะไร
ถ . ในเรื่องของสติปัฏฐาน การเจริญสติปัฏฐานนี้ รู้แจ้ง เห็นชัดในนามและรูป รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะเราก็รู้ รู้ชัดว่าไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่บุคคล รู้ชัดไปอีกว่าเป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา รู้ชัดอยู่เสมอ พิจารณาตามอยู่เสมอ และอะไรที่ควรจะรู้ยิ่งไปกว่านี้ ให้เป็นอริยมรรค อริยผล
สุ . อารมณ์ที่ปรากฏไม่ผิดปกติเลย การที่จะละการยึดถือนามธรรมและรูปธรรมให้เกิดความรู้จริงว่า นามธรรม และรูปธรรมทั้งหมดนั้นไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ก็เพราะสติระลึกรู้ในลักษณะของแต่ละนาม แต่ละรูป ที่ปรากฏแต่ละทางชัดเจน ความรู้ที่ชัดเจนนี้จะทำให้ละคลายการที่เคยไม่รู้ในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม เมื่อละคลายการที่เคยยึดถือ การที่เคยไม่รู้ในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมแล้ว ลักษณะความเกิดขึ้นและดับไปจริงๆ ของแต่ละนามแต่ละรูปที่ปรากฏแต่ละทวารย่อมปรากฏแก่ปัญญา
เวลานี้นามธรรมและรูปธรรมทั้งหมด ก็เกิดขึ้นและดับไปอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าไม่รู้ในสภาพที่เกิดขึ้นและดับไปก็ไม่ใช่ปัญญาที่รู้แจ้ง ไม่ใช่ปัญญาที่แทงตลอดในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมนั้นๆ
ซึ่งการรู้ ก็ไม่ใช่การรู้อื่น การละความเห็นผิด ก็ไม่ใช่ละความเห็นผิดอื่น นอกจากการเห็นผิดที่ยึดถือนามธรรมและรูปธรรมในขณะนี้นั่นเอง
ถ . เราพิจารณารู้อยู่เสมอว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา รู้อยู่เสมอว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป รู้อยู่เสมอ พิจารณาอยู่เสมอ แต่เราอยากจะรู้อีกต่อหนึ่งว่า ยิ่งกว่านั้น เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว อะไรจะทำให้เรารู้ไปถึงอริยมรรค อริยผล อะไรที่จะทำให้อริยมรรค อริยผลปรากฏให้เห็นชัดต่อไป
สุ . รู้นามธรรมอะไร รูปธรรมอะไร ที่เกิดขึ้นและดับไป
ถ. รู้ว่าเกิดขึ้นเป็นเสียง รู้อย่างนี้แล้วว่าตั้งอยู่ แล้วเสียงนั้นก็หายไป เรียก ว่าดับไป เป็นอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา แล้วอะไรจะทำให้รู้ไปถึง อริยมรรค
สุ . รู้นามธรรมที่รู้เสียงไหม
ถ. รู้ว่านามเป็นนาม เสียงเป็นเสียง
สุ . นามธรรมที่รู้เสียง รู้ไหม
ถ. นามธรรมเป็นสภาพที่รู้ รู้ว่าเป็นเสียง
สุ . ไม่เหมือนกับนามธรรมอื่น
ถ. อยากจะทราบว่า อะไรให้เห็นอริยมรรค อริยผลเท่านั้น
สุ . ไม่มีอะไร นอกจากนามธรรมที่เกิดดับตามปกติ ตรวจดูได้ใน พระไตรปิฏก ไม่มีนามอื่น รูปอื่นเลย นอกจากปัญญาเพิ่มขึ้น
ถ. พิจารณาอยู่อย่างนี้เสมอ มรรคญาณ ผลญาณที่จะเกิดนั้น จะมาเกิดกับเราดุจพระอาทิตย์ส่องแสงโลกอย่างนั้นหรือ อย่างท่านพระอานนท์ท่านบำเพ็ญอยู่ตั้งแต่พระพุทธเจ้าของเรานิพพานไปได้หลายราตรี พระอานนท์พิจารณาอยู่เสมอๆ ท่านก็มาบรรลุตอนที่ท่านจะเอนนอน อะไรที่ทำให้แจ้ง เป็นอริยมรรค
สุ . การเจริญปัญญาไม่ใช่เรื่องความสงสัย การเจริญปัญญาเป็นเรื่องของการรู้ขึ้นในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมทีละเล็กทีละน้อย ชัดเจนยิ่งขึ้น ละเอียดขึ้น ไม่ว่ากำลังโกรธ กำลังดีใจ กำลังเป็นสุข กำลังเป็นทุกข์ กำลังคิดนึกอย่างไรก็ตาม เป็นการรู้ชัดในสภาพธรรมนั้นๆ ยิ่งขึ้น และละการที่เคยยึดถือว่าเป็นเราที่เห็น เป็นเราที่สุข เป็นเราที่คิดนึกต่างๆ เป็นเราที่กำลังโกรธ ไม่ใช่ทำอย่างอื่นเลย เป็นการรู้แล้วละ แต่ไม่ใช่เป็นการสงสัยว่าอย่างไร รู้อย่างไร ถ้าเป็นความรู้จริงๆ แล้วไม่สงสัยว่ารู้อย่างไร แต่เพราะยังไม่รู้จึงสงสัยว่าจะรู้อย่างไร
เพราะฉะนั้น หนทางที่ถูก คือ ควรเจริญอย่างไรจึงจะเกิดความรู้จริงๆ ได้ ไม่ใช่เพียงแต่ว่า ทุกอย่างไม่เที่ยง หมดแล้วเวลานี้ อย่างนี้ไม่ได้ อย่างนี้ยังไม่ชื่อว่า รู้ชัดในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมที่เป็นความสมบรูณ์ที่เป็นวิปัสสนาญาณแต่ละขั้น จะรู้รวมไปทีเดียวว่ารู้แล้วหมดไม่ได้ จะต้องมาจากเหตุด้วย คือ การเจริญอย่างไร การรู้รู้ชัดแต่ละทาง ทางไหน อย่างไร และขณะที่รู้ เป็นความรู้ลักษณะของนามอะไร ของรูปอะไรที่เป็นความสมบูรณ์ของวิปัสสนาญาณ แต่จะรวมไปว่าทั้งหมดไม่เที่ยง ทั้งหมดเป็นทุกข์ ทั้งหมดเป็นอนัตตา ทุกสิ่งทุกอย่างพิจารณาแล้วไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา รู้แล้วหมด และก็มีความสงสัย นั่นไม่ใช่ลักษณะของปัญญา
มีใครบ้างที่ไม่รู้อย่างนี้ ก็รู้กันหมดแล้วทั้งนั้นว่าไม่เที่ยง เสียงเมื่อสักครู่นี้ก็ไม่เที่ยง คิดนึกเมื่อสักครู่ก็ ไม่เที่ยง อย่างนี้หรือชื่อว่ารู้แล้วในลักษณะที่ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล
การศึกษาปริยัติ ทุกท่านก็กล่าวตรงตามที่ได้ทรงแสดงไว้ถึงความไม่เที่ยงของนามธรรมและรูปธรรม ที่เกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็วทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แต่ทำไมไม่เจริญสติที่จะให้รู้ชัดตามความเป็นจริงตามปกติ ของนามธรรมและรูปธรรมซึ่งเกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็วเป็นปกติในขณะนี้ ต้องตรงกันด้วย แต่ถ้าข้อปฏิบัตินั้นยังไม่ใช่การเจริญสติระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมตามปกติ ตามความเป็นจริง ให้เกิดความรู้แจ้งจริงๆ นั่นก็ไม่ใช่การปฏิบัติธรรม เป็นแต่เพียงความรู้ขั้นการศึกษา รู้ขั้นการพิจารณาว่า นามรูปทั้งหมดไม่เที่ยงเท่านั้นเอง ซึ่งการเจริญปัญญาจะทำให้หมดความสงสัย ไม่ใช่ทำให้สงสัย ถ้าเป็นปัญญา แต่ถ้าปัญญายังไม่ประจักษ์ ยังไม่เกิดขึ้น ยังไม่รู้ ก็เป็นความสงสัย [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 260]
