พระสูตรที่ทรงแสดงเรื่องของทาน


    ขอกล่าวถึงพระสูตรที่ทรงแสดงไว้ เพื่อความเข้าใจในเรื่องของทานให้ชัดเจนขึ้น

    สังยุตตนิกาย สคาถวรรค โกสลสังยุต ตติยวรรค อิสสัตถสูตร ที่ ๔

    ณ พระนครสาวัตถี พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค เมื่อประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า

    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทาน บุคคลพึงให้ในที่ไหนหนอแล

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร มหาบพิตร จิตย่อมเลื่อมใสในที่ใด พึงให้ในที่นั้นแล

    พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลว่า

    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ และทานที่ให้แล้วในที่ไหน จึงมีผลมาก

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร มหาบพิตร ทานพึงให้ในที่ไหน นั่นเป็นข้อหนึ่ง และทานที่ให้แล้วในที่ไหนจึงมีผลมาก นั่นเป็นอีกข้อหนึ่ง

    ดูกร มหาบพิตร ทานที่ให้แล้วแก่ผู้มีศีลแล มีผลมาก ทานที่ให้แล้วในผู้ทุศีล หามีผลมากไม่

    นี่เป็นพระดำรัสโดยย่อ แต่คำว่า ผู้มีศีล หรือผู้ทุศีล จะเป็นบุคคลประเภทใด ก็ต้องมีความละเอียดต่อไปอีก ผู้ที่มีศีลสมบรูณ์ คือ พระอริยเจ้า ตั้งแต่พระโสดาบันบุคคลเป็นต้นไป

    เพราะฉะนั้น การที่ท่านจะมีจิตศรัทธา เลื่อมใส ทะนุบำรุงพระศาสนา ขอให้ตรงกับเหตุผลด้วย อย่าเป็นการให้โดยที่ท่านคิดว่า ท่านจะส่งเสริมสนับสนุนบำรุงสำนักหนึ่งสำนักใด แต่ขอให้ท่านเป็นผู้ที่ทะนุบำรุงส่งเสริมพระธรรมวินัย เพราะฉะนั้น การเข้าใจธรรม เกื้อกูลให้ท่านได้บำเพ็ญประโยชน์ ได้ทะนุบำรุงพระธรรมวินัยจริงๆ แต่ถ้าท่านประมาท ไม่พิจารณาธรรมโดยรอบคอบ ไม่เข้าใจโดยถูกต้องในข้อปฏิบัติ ท่านคิดว่า ท่านทะนุบำรุงพระธรรมวินัย แต่ความจริงท่านไม่ได้ทะนุบำรุงพระธรรมวินัย เพราะท่านไม่เข้าใจว่า อะไรเป็นธรรมวินัย อะไรไม่ใช่ธรรมวินัย

    สารัตถปกาสินี อรรถกถาสังยุตตนิกาย มีข้อความอธิบายว่า

    ครั้งนั้น ในปฐมโพธิกาล ลาภสักการะเกิดแก่พระผู้มีพระภาคและพระภิกษุสงฆ์เป็นอันมาก พวกเดียรถีย์จึงกล่าวว่า

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า พึงให้ทานแก่เราเท่านั้น แก่สาวกของพระผู้มีพระภาคเท่านั้น ทานที่ให้แก่พระผู้มีพระภาคมีผลมาก ให้แก่ผู้อื่นมีผลไม่มาก ให้แก่สาวกของพระผู้มีพระภาคมีผลมาก ให้แก่ผู้อื่นมีผลไม่มาก

    นี่เป็นความริษยา ซึ่งพวกเดียรถีย์ใคร่ที่จะให้พระผู้มีพระภาคเสื่อมจากลาภ ยศ สักการะ

    แต่ว่าความเป็นไปแห่งวาทะ พร้อมทั้งเหตุอันพระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว ย่อมไม่มาถึงเหตุที่ควรติเตียนอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ว่าความเป็นไปแห่งวาทะ พร้อมทั้งเหตุอันชนเหล่าอื่นกล่าวแล้ว ย่อมมาถึงเหตุที่ควรติเตียนอย่างใดอย่างหนึ่ง

    ที่มา ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 170

    ในครั้งนั้น ผู้คนที่ได้ฟังพวกเดียรถีย์กล่าวอย่างนั้น ก็เที่ยวถามกันว่า พระผู้มีพระภาคตรัสเช่นนั้นหรือ ข้อความนั้นจริงแหละหรือ พระสมณโคดมทำสิ่งที่ไม่สมควร เป็นอันตรายแก่ปัจจัยของผู้อื่นที่อาศัยภิกขาจารเป็นอยู่

    ข้อความนี้ก็ได้แพร่กระจายไปถึงราชสกุล พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงสดับแล้ว ทรงดำริว่า การที่พระตถาคตจะพึงทำอันตรายลาภของผู้อื่น เป็นอฐานะ เดียรถีย์เหล่านั้นกระเสือกกระสน เพื่อเสื่อมลาภ เสื่อมยศ แห่งพระตถาคต

    พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงดำริว่า เมื่อพระองค์ยังอยู่ในที่นี้ พวกเดียรถีย์ทั้งหลายอย่าได้กล่าวเช่นนั้นเลย พระศาสดาย่อมไม่ตรัสเช่นนั้น ถ้อยคำนั้นไม่พึงเป็นไปโดยกำหนดเอาเอง พระองค์จักให้ข้อความนั้นระงับลงในเวลาประชุมชน แล้วพระองค์ก็ประกาศให้ประชาชนไปยังพระวิหารในวันที่พระองค์เสด็จไปเพื่อถามปัญหานี้

    ซึ่งเมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลตรัสถามปัญหา ข้อความในพระไตรปิฎกมีว่า

    พระเจ้าปเสนทิโกศลได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า

    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทานบุคคลพึงให้ในที่ไหนหนอแล

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกรมหาบพิตร จิตย่อมเลื่อมใสในที่ใด พึงให้ในที่นั้นแล

    เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ได้ทอดพระเนตรดูมนุษย์ทั้งหลายที่นำวาทะของเดียรถีย์มากล่าว เพียงพระเจ้าปเสนทิโกศลทอดพระเนตรดูเท่านั้น มนุษย์เหล่านั้นก็เก้อเขิน ก้มหน้าเอาปลายนิ้วเท้าขุดดิน

    เป็นอันว่าพวกเดียรถีย์ทั้งหลายถูกกำจัดเสียแล้วด้วยบทเพียงบทเดียว คือ ด้วยพระดำรัสที่ว่า จิตย่อมเลื่อมใสในที่ใด พึงให้ในที่นั้นแล

    พระเจ้าปเสนทิโกศลได้กราบทูลถามต่อไปว่า

    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แล้วทานที่ให้แล้วในที่ไหน จึงมีผลมาก

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร มหาบพิตร ทานพึงให้ในที่ไหน นั่นเป็นข้อหนึ่ง และทานที่ให้แล้วในที่ไหนจึงมีผลมาก นั่นเป็นอีกข้อหนึ่ง

    ดูกร มหาบพิตร ทานที่ให้แล้วแก่ผู้มีศีลแล มีผลมาก ทานที่ให้แล้วในผู้ทุศีล หามีผลมากไม่

    ไม่ได้ทรงห้ามการให้ทานแก่บุคคลอื่นเลย แต่เหตุอย่างใดจะให้ผลอย่างไร ก็ทรงแสดงตามความเป็นจริงว่า ถ้าเหตุอย่างนั้นจริง ผลก็มากอย่างนั้นจริง เหตุคือ จิตใจของท่านในขณะนั้นบริสุทธิ์มากน้อยเท่าไร ก็นำมาซึ่งผลมากน้อยเท่านั้น ถ้าจิตท่านบริสุทธิ์มาก มีความเข้าใจถูกรู้ว่า สิ่งใดเป็นธรรม เป็นวินัย ทะนุบำรุงผู้ประพฤติดีประพฤติชอบ จึงจะมีผลมาก

    เพื่อให้ข้อความนี้ชัดเจนขึ้นอีก ขอกล่าวถึงสูตรที่ยาวสูตรหนึ่ง ซึ่งจะทำให้ท่านผู้ฟังเข้าใจข้อนี้ชัดขึ้น

    อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ชัปปสูตร มีข้อความว่า

    ปริพาชกผู้วัจฉโคตรได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ กราบทูลถามว่า

    ได้สดับมาว่า พระสมณโคดมตรัสว่า พึงให้ทานแก่เราคนเดียว ไม่ควรให้แก่คนอื่นๆ พึงให้ทานแต่สาวกของเรานี้แหละ ไม่ควรให้ทานแก่สาวกของคนอื่นๆ ทานที่ให้แก่เราเท่านั้นมีผลมาก ที่ให้แก่คนอื่นๆ หามีผลมากไม่ ทานที่ให้แก่สาวกของเราเท่านั้นมีผลมาก ที่ให้แก่สาวกของคนอื่นๆ หามีผลมากไม่

    ปริพาชกผู้วัจฉโคตรกราบทูลว่า

    ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ชนเหล่าใดได้กล่าวไว้เช่นนี้ ชนเหล่านั้นชื่อว่า พูดตามที่พระโคดมตรัส ไม่พูดตู่ท่านพระโคดมด้วยคำไม่เป็นจริง และชื่อว่าพยากรณ์ธรรมสมควรแก่ธรรม อนึ่ง การคล้อยตามคำพูดที่ชอบธรรมไรๆ ย่อมไม่มาถึงฐานะที่น่าติเตียนแหละหรือ เพราะข้าพระองค์ไม่ประสงค์ที่จะพูดตู่ท่านพระโคดม

    พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า

    ดูกร วัจฉะ ผู้ใดพูดว่า พระสมณโคดมตรัสว่า พึงให้ทานแก่เราคนเดียว ... ฯลฯ ... ทานที่ให้แก่สาวกของคนอื่นๆ หามีผลมากไม่ ดังนี้ ผู้นั้นชื่อว่าไม่พูดตามที่เราพูด ทั้งกล่าวตู่เราด้วยคำอันไม่ดี ไม่เป็นจริง

    ดูกร วัจฉะ ผู้ใดแล ห้ามผู้อื่นซึ่งให้ทานอยู่ ผู้นั้นชื่อว่าย่อมกระทำอันตรายแก่ วัตถุ ๓ อย่าง เป็นโจรดักปล้นวัตถุ ๓ อย่าง วัตถุ ๓ อย่างเป็นไฉน คือ ย่อมทำอันตรายแก่บุญของทายก ๑ ย่อมทำอันตรายแก่ลาภของปฏิคาหก คือ ผู้รับ ๑ ตนของบุคคลนั้นย่อมเป็นอันถูกกำจัดและถูกทำลายก่อนทีเดียวแล

    พระผู้มีพระภาคตรัสต่อไปว่า

    ดูกร วัจฉะ ก็เราพูดเช่นนี้ว่า ผู้ใดสาดน้ำล้างภาชนะหรือน้ำล้างขันไป แม้ที่สัตว์ซึ่งอาศัยอยู่ที่บ่อน้ำครำ หรือที่บ่อโสโครกข้างประตูบ้าน ด้วยตั้งใจว่า สัตว์ที่อาศัยอยู่ในที่นั้นจงยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยสิ่งนั้นเถิด ดังนี้

    ดูกร วัจฉะ เรากล่าวกรรมซึ่งมีการสาดน้ำล้างภาชนะนั้นเป็นเหตุว่า เป็นที่มาแห่งบุญ จะป่วยกล่าวไปใยถึงสัตว์มนุษย์เล่า

    ดูกร วัจฉะ อีกประการหนึ่ง เราย่อมกล่าวว่า ทานที่ให้แก่ท่านผู้มีศีล มีผลมาก ที่ให้ในคนทุศีล หาเหมือนเช่นนั้นไม่ ทั้งท่านผู้มีศีลนั้นเป็นผู้ละองค์ ๕ ได้แล้ว ประกอบด้วยองค์ ๕

    ละองค์ ๕ เหล่าไหนได้ คือ ละกามฉันทะ ๑ ละพยาบาท ๑ ละถีนะมิทธะ ๑ ละอุทธัจจกุกกุจจะ ๑ ละวิจิกิจฉา ๑ ท่านผู้มีศีลละองค์ ๕ นี้ได้แล้ว

    ประกอบด้วยองค์ ๕ เป็นไฉน คือ ประกอบด้วยศีลขันธ์ที่เป็นของพระอเสกขะ (พระอรหันต์) ๑ ประกอบด้วยสมาธิขันธ์ที่เป็นของพระอเสกขะ ๑ ประกอบด้วย ปัญญาขันธ์ที่เป็นของพระอเสกขะ ๑ ประกอบด้วยวิมุตติขันธ์ที่เป็นของพระอเสกขะ ๑

    ประกอบด้วยวิมุตติญาณทัสสนะขันธ์ที่เป็นของพระอเสกขะ ๑ ท่านผู้มีศีลประกอบด้วยองค์ ๕ นี้ เรากล่าวว่า ทานที่ให้ในท่านที่ละองค์ ๕ ได้ ประกอบด้วยองค์ ๕ ดังกล่าวมา มีผลมาก

    พระผู้มีพระภาคตรัสต่อไปว่า

    โคอุสุภะที่เขาฝึกแล้ว นำธุระไป สมบูรณ์ด้วยกำลัง ประกอบด้วยเชาว์อันดี จะเกิดในสีสรรชนิดใดๆ คือ สีดำ สีขาว สีแดง สีเขียว สีด่าง สีตามธรรมชาติของตน สีเหมือนโคธรรมดา หรือสีเหมือนนกพิราบก็ดี ชนทั้งหลายย่อมเทียมมันเข้าในแอก ไม่ต้องใฝ่คำนึงถึงสีสันของมัน ฉันใด ในหมู่มนุษย์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ผู้ที่ฝึกตนดีแล้ว มีวัตรเรียบร้อย ตั้งอยู่ในธรรม สมบูรณ์ด้วยศีล พูดแต่คำสัตย์ มีใจประกอบด้วยหิริ ละชาติ และมรณะได้ มีพรหมจรรย์บริบูรณ์ ปลงภาระลงแล้ว พ้นกิเลส ทำกิจเสร็จแล้ว หมดอาสวะ รู้จบธรรมทุกอย่าง ดับสนิทแล้ว เพราะไม่ถือมั่น ย่อมจะเกิดได้ในสัญชาติอย่างใดอย่างหนึ่ง ในบรรดาสัญชาติเหล่านี้ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร คนจัณฑาล และคนเทขยะมูลฝอย ในเขตที่ปราศจากธุลีนั้นแล ทักษิณาย่อมมีผลมาก

    ส่วนคนพาลไม่รู้แจ้ง ทรามปัญญา มิได้สดับตรับฟัง ย่อมพากันให้ทานในภายนอก ไม่เข้าไปหาสัตบุรุษ ก็ศรัทธาของผู้ที่เข้าไปหาสัตบุรุษ ผู้มีปัญญายกย่องกันว่าเป็นปราชญ์ หยั่งรากลงตั้งมั่นในพระสุคตแล้ว เขาเหล่านั้นย่อมพากันไปเทวโลก หรือมิฉะนั้นก็เกิดในสกุลในโลกนี้ บัณฑิตย่อมบรรลุนิพพานได้โดยลำดับ

    ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่า ผู้ที่มีศรัทธาในพระศาสนา บำเพ็ญบารมีสะสมบุญกุศลมาแล้วจะรู้แจ้งอริยสัจธรรมเมื่อไร แต่ถ้าเจริญสติปัฏฐานจะรู้ได้ด้วยตนเอง เพราะคนอื่นไม่สามารถรู้ว่าวันหนึ่งสติเกิดมากหรือน้อย ปัญญารู้ชัดในสภาพของนามและรูปที่สติระลึกรู้ แต่การเจริญกุศลช่วยขัดเกลาอกุศลให้ไปสู่การดับสนิทซึ่งอกุศลทั้งปวงได้ จึงควรเจริญกุศลทุกขั้น

    . การเจริญสติในขณะที่ให้ทาน เราจะเจริญได้มากน้อยเพียงใด

    สุ . แล้วแต่สติจะเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย แต่ผู้ที่ได้ฟังธรรมเข้าใจแล้วจึงไม่ประมาท เพราะฉะนั้น ไม่ว่ากำลังให้ทาน หรือไม่ใช่ให้ทาน กำลังจะเปิดพัดลม เจริญสติปัฏฐานได้ไหม บางท่านถามอย่างนี้

    ความจริงคำว่า “เจริญสติ” หมายความว่า อบรมสติให้มีมากขึ้น เพิ่มขึ้นบ่อยๆ เนืองๆ ไม่ใช่บังคับว่า ตอนนี้จะเจริญสติ ตอนนั้นจะไม่เจริญสติ บางท่านก็ถามว่า แล้วจะเห็นทุกข์หรือ ขณะที่เดินไปเปิดพัดลม ซึ่งน่าจะทำไปด้วยโลภะด้วยความต้องการ แล้วจะเห็นทุกข์ได้อย่างไร

    เวลานี้ถ้ามีสติระลึกรู้ลักษณะของรูปหนึ่งรูปใดทางหนึ่งทางใด ระลึกรู้ลักษณะของนามหนึ่งนามใดทางหนึ่งทางใด ถึงแม้ว่าจะระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมรูปธรรม แต่เพราะยังไม่ทั่ว ยังไม่ประจักษ์ชัดในสภาพที่เป็นนาม ในสภาพที่เป็นรูป ความเป็นตัวตนก็ยังมี เพราะฉะนั้น จึงต้องเจริญสติบ่อยๆ เนืองๆ โดยไม่เลือกด้วย เพราะเหตุว่าความสมบูรณ์ของปัญญานั้นเป็นอนัตตา จะเลือกให้เกิดนามรูปปริจเฉทญาณ รู้นามนี้ รู้รูปนั้นไม่ได้เลย แล้วแต่ว่าความสมบูรณ์จะเกิดในขณะใด มีนามใดกำลังปรากฏ มีรูปใดกำลังปรากฏ ไม่ใช่เป็นการบังคับ

    เคยชอบอะไร เคยทำอะไร เคยฟังเพลง เคยดูหนัง เคยแต่งตัวสวยๆ งามๆ เพราะมีปัจจัยสะสมมาสำหรับบุคคลนั้นที่จะทำอย่างนั้น แต่สติระลึกรู้สภาพที่เป็นนามธรรม ระลึกรู้ลักษณะที่เป็นรูปธรรม ขั้นแรกยังไม่ได้ละโลภะ แต่ระลึกรู้ว่า โลภะเป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง เกิดแล้วก็หมดไป ปัญญาจะต้องรู้ตามความเป็นจริงด้วย

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 171


    หมายเลข 13699
    28 พ.ย. 2568