พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๔. อิสสัตถสูตร

 
บ้านธัมมะ
วันที่  29 ส.ค. 2564
หมายเลข  36297
อ่าน  372

[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 514

๔. อิสสัตถสูตร


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 24]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 514

๔. อิสสัตถสูตร

[๔๐๕] สาวัตถีนิทาน.

พระเจ้าปเสนทิโกศลประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้ทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทาน บุคคลควรให้ในที่ไหนหนอ.

พ. ดูก่อนมหาบพิตร ควรให้ในที่ที่จิตเลื่อมใส.

ป. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ และทานที่ให้แล้วในที่ไหนจึงมีผลมาก.

[๔๐๖] พ. ดูก่อนมหาบพิตร ทานควรให้ในที่ไหนนั่นเป็นข้อหนึ่ง และทานที่ให้แล้วในที่ไหนจึงมีผลมาก นั่นเป็นอีกข้อหนึ่ง ดูก่อนมหาบพิตร ทานที่ให้แล้วแก่ผู้มีศีลแลมีผลมาก ทานที่ให้แล้วในผู้ทุศีลหามีผลมากไม่ ดูก่อนมหาบพิตร ด้วยเหตุนั้น อาตมภาพจักย้อนถามมหาบพิตรในปัญหาข้อนั้นบ้าง. มหาบพิตรพอพระทัยอย่างใด พึงพยากรณ์อย่างนั้น

[๔๐๗] มหาบพิตรจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ณ ที่นี้ การยุทธ์พึงปรากฏเฉพาะหน้าแด่พระองค์ สงครามพึงประชิดกัน ถ้าว่าเจ้าหนุ่มๆ ผู้ไม่ได้ศึกษา ไม่ได้หัดมือ ไม่มีความชำนาญ ไม่ได้ประลองการยิง เป็นคนขี้ขลาด หวาดสะดุ้ง มักวิ่งหนี พึงมาอาสาไซร้ พระองค์พึงทรงชุบเลี้ยงบุรุษนั้นหรือ และพระองค์ยังจะทรงต้องการบุรุษเช่นนั้นหรือ.

ป. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันไม่พึงชุบเลี้ยงบุรุษเช่นนั้น และหม่อมฉันไม่ต้องการบุรุษเช่นนั้นเลย.

พ. ถ้าว่า พราหมณ์หนุ่ม ผู้ไม่ได้ศึกษา ฯลฯ พึงมาอาสาไซร้ ฯลฯ ถ้าว่าแพศย์หนุ่ม ผู้ไม่ได้ศึกษา ฯลฯ พึงมาอาสาไซร้ ฯลฯ ถ้าว่าศูทรหนุ่ม ผู้ไม่ได้ศึกษา ฯลฯ พึงมาอาสาไซร้ พระองค์พึงทรงชุบเลี้ยงบุรุษนั้นหรือ และพระองค์ยังจะทรงต้องการบุรุษเช่นนั้นหรือ.

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 515

ป. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันไม่พึงชุบเลี้ยงบุรุษนั้น และหม่อมฉันไม่พึงต้องการบุรุษเช่นนั้นแล.

[๔๐๘] พ. ดูก่อนมหาบพิตร พระองค์จะทรงสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ณ ที่นี้ การยุทธพึงปรากฏแก่พระองค์ สงครามพึงประชิดกัน ถ้าว่าเจ้าหนุ่มๆ ผู้ศึกษาดีแล้ว ได้หัดมือแล้ว มีความชำนาญแล้ว ได้ประลองการยิงมาแล้ว ไม่เป็นคนขี้ขลาด ไม่หวาดสะดุ้ง ไม่วิ่งหนี พึงมาอาสาไซร้ พระองค์พึงทรงชุบเลี้ยงบุรุษนั้นหรือ และพระองค์พึงทรงต้องการบุรุษเช่นนั้นหรือ.

ป. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันพึงชุบเลี้ยงบุรุษนั้น และหม่อมฉันพึงต้องการบุรุษเช่นนั้น.

พ. ถ้าว่า พราหมณ์หนุ่ม ผู้ศึกษาดีแล้ว ฯลฯ พึงมาอาสาไซร้ ฯลฯ ถ้าว่า แพศย์หนุ่ม ผู้ศึกษาดีแล้ว ฯลฯ พึงมาอาสาไซร้ ฯลฯ ถ้าว่า ศูทรหนุ่มผู้ศึกษาดีแล้ว ฯลฯ พึงมาอาสาไซร้ พระองค์จะพึงทรงชุบเลี้ยงบุรุษนั้นหรือ และพระองค์จะพึงทรงต้องการบุรุษเช่นนั้นหรือ.

ป. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันพึงชุบเลี้ยงบุรุษนั้น และหม่อมฉันพึงต้องการบุรุษเช่นนั้น.

[๔๐๙] พ. ฉันนั้นนั่นแล มหาบพิตร แม้หากว่า กุลบุตรออกจากเรือนไม่มีเรือน บวชจากตระกูลไรๆ และกุลบุตรนั้น เป็นผู้ละองค์ ๕ ได้แล้ว เป็นผู้ประกอบแล้วด้วยองค์ ๕ ทานที่ให้แล้วในกุลบุตรนั้น ย่อมมีผลมาก องค์ ๕ อันกุลบุตรนั้นละได้แล้วเป็นไฉน กามฉันทะอันกุลบุตรนั้นละได้แล้ว พยาบาทอันกุลบุตรนั้นละได้แล้ว ถีนมิทธะอันกุลบุตรนั้นละได้แล้ว อุทธัจจกุกกุจจะอันกุลบุตรนั้นละได้แล้ว วิจิกิจฉาอันกุลบุตรนั้นละได้แล้ว องค์ ๕ เหล่านี้อันกุลบุตรนั้นละได้แล้ว กุลบุตรนั้นเป็นผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ เป็นไฉน

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 516

กุลบุตรนั้นเป็นผู้ประกอบด้วยสีลขันธ์ของพระอเสขะ ประกอบด้วยสมาธิขันธ์ของพระอเสขะ ประกอบด้วยปัญญาขันธ์ของพระอเสขะ ประกอบด้วยวิมุตติขันธ์ของพระอเสขะ ประกอบด้วยวิมุตติญาณทัสสนขันธ์ของพระอเสขะ กุลบุตรนั้นเป็นผู้ประกอบแล้วด้วยองค์ ๕ เหล่านี้ ทานที่ให้แล้วในกุลบุตรผู้ละองค์ ๕ ได้แล้ว ผู้ประกอบแล้วด้วยองค์ ๕ ดังนี้ ย่อมมีผลมาก.

[๕๑๐] พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้พระสุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์คำร้อยแก้วนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาคำร้อยกรองต่อไปอีกว่า

ศิลปะธนู กำลังเข้มแข็ง และความกล้าหาญ มีอยู่ในชายหนุ่มผู้ใด พระราชาผู้ทรงการยุทธ์ พึงทรงชุบเลี้ยงชายหนุ่มเช่นนั้น ไม่พึงทรงชุบเลี้ยงชายหนุ่มผู้ไม่กล้าหาญ เพราะเหตุแห่งชาติ ฉันใด.

ธรรมะคือขันติและโสรัจจะ ตั้งอยู่แล้วในบุคคลใด บุคคลพึงบูชาบุคคลนั้นผู้มีปัญญา มีความประพฤติเยี่ยงพระอริยะ แม้มาชาติต่ำ ฉันนั้นเหมือนกัน.

พึงสร้างอาศรมอันเป็นที่รื่นรมย์ อาราธนาพระพหูสูตทั้งหลายให้อยู่ ณ ที่นั้น พึงสร้างบ่อน้ำไว้ในป่าที่กันดารน้ำ และสร้างสะพานในที่เป็นหล่ม พึงถวายข้าว น้ำ ของเคี้ยว ผ้า และเสนาสนะในท่านผู้ซื่อตรงทั้งหลาย ด้วยน้ำใจอันผ่องใส

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 517

เมฆมีสายฟ้าแลบแปลบปลาบ (เมฆอันประกอบด้วยถ่องแถวแห่งสายฟ้า) มียอดตั้งร้อยกระหึ่มอยู่ ทำแผ่นดินให้โชกชุ่มอยู่ ย่อมทำที่ดอนและที่ลุ่มให้เต็ม แม้ฉันใด.

ทายกผู้มีศรัทธา เป็นบัณฑิตได้ฟังแล้ว ตกแต่งโภชนาหารเลี้ยงวณิพก ด้วยข้าวน้ำให้อิ่มหนำ บันเทิงใจ เที่ยวไปในโรงทาน สั่งว่า ท่านทั้งหลายจงให้ ท่านทั้งหลายจงให้ ดังนี้ และทายกนั้นบันลือเสียงเหมือนเสียงกระหึ่มแห่งเมฆ เมื่อฝนกำลังตก ธารแห่งบุญอันไพบูลย์นั้น ย่อมหลั่งรดทายกผู้ให้ฉันนั้น.

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 518

อรรถกถาอิสสัตถสูตร

การตั้งขึ้นแห่งอิสสัตถสูตรที่ ๔ มีอัตถุปปัตติ เหตุเกิดเรื่องดังนี้ :-

ได้ยินว่า ในปฐมโพธิกาล พระผู้มีพระภาคเจ้า และภิกษุสงฆ์มีลาภสักการะเกิดขึ้นเป็นอันมาก. เหล่าเดียรถีย์เสื่อมลาภสักการะ ก็เที่ยวพูดไปในตระกูลทั้งหลาย อย่างนี้ว่า พระสมณโคดมกล่าวอย่างนี้ว่า พึงให้ทานแก่เราเท่านั้น ไม่พึงให้ทานแก่พวกอื่น พึงให้ทานแก่สาวกของเราเท่านั้น ไม่พึงให้ทานแก่เหล่าสาวกของพวกอื่น ทานที่ให้แก่เราเท่านั้นมีผลมาก ทานที่ให้แก่พวกอื่น ไม่มีผลมาก ทานที่ให้แก่สาวกของเราเท่านั้น มีผลมาก ทานที่ให้แก่เหล่าสาวกของพวกอื่น ไม่มีผลมาก. แม้ทั้งที่ตนเองก็ยังอาศัยภิกขาจาร ควรละหรือที่มาทำอันตรายแก่ปัจจัย ๔ ของพวกอื่น ซึ่งก็อาศัยภิกขาจารเหมือนกัน พระสมณโคดมทำไม่ถูก ไม่สมควรเลย ถ้อยคำนั้นก็แผ่กระจายไปถึงราชสกุล.

พระราชาทรงสดับแล้ว ทรงพระดำริว่า มิใช่ฐานะเลย (เป็นไปไม่ได้) ที่พระตถาคตจะพึงทรงทำอันตรายแก่สาวกของคนพวกอื่น มีแต่คนอื่นเหล่านั้น กระเสือกกระสน เพื่อไม่ให้มีลาภ เพื่อไม่ให้มียศแก่พระตถาคต ถ้าเรายังอยู่ในที่นี้นี่แหละ ก็จะพึงพูดว่า พวกท่านอย่าพูดอย่างนี้ พระศาสดาย่อมไม่ตรัสอย่างนั้น ถ้อยคำนั้น ไม่พึงถึงความไม่มีมลทินโทษ เราจักทำถ้อยคำนั้นให้หมดมลทิน ในเวลาที่มหาชนนี้ชุมนุมกัน จึงทรงนิ่งรอคอยวันมหรสพวันหนึ่งอยู่.

สมัยต่อมา เมื่อมหาชนชุมนุมกัน พระราชาทรงพระดำริว่า เวลานี้เป็นกาลแห่งมหรสพนี้ แล้วโปรดให้ตีกลองประกาศไปในพระนครว่า คนทั้งหลายไม่ว่ามีศรัทธาหรือไม่มีศรัทธา เป็นสัมมาทิฏฐิ หรือมิจฉาทิฏฐิ ยกเว้น

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 519

เด็กหรือสตรีเฝ้าเรือน ต้องไปยังพระวิหาร ผู้ใดไม่ไปจะต้องถูกปรับไหม ๕๐ กหาปณะ แม้พระองค์เอง ก็ทรงสรงสนานแต่เช้าตรู่ เสวยพระกระยาหารเช้าแล้ว ทรงประดับพระองค์ด้วยเครื่องประดับทุกอย่าง แล้วได้เสด็จไปยังพระวิหาร พร้อมด้วยหมู่ทหารหมู่ใหญ่ เมื่อกำลังเสด็จ ทรงพระดำริว่า เราจักทูลถามปัญหาที่ไม่ควรจะถามอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า เขาว่าพระองค์ตรัสว่า พึงให้ทานแก่เราเท่านั้น ฯลฯ ทานที่ให้แก่เหล่าสาวกของคนพวกอื่น ไม่มีผลมาก ดังนี้ ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบปัญหาของเรา ก็จักทรงทำลายวาทะของเหล่าเดียรถีย์ได้ในที่สุด.

ท้าวเธอเมื่อทรงทูลถามปัญหาจึงตรัสว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บุคคลควรให้ทานในที่ไหนหนอ.

บทว่า ยตฺถ ความว่า จิตเลื่อมใสในบุคคลใด พึงให้ทานในบุคคลนั้น หรือพึงให้แก่บุคคลนั้น.

เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้ พระราชาก็ทอดพระเนตรดูเหล่าผู้คนที่บอกกล่าวคำของเหล่าเดียรถีย์. ผู้คนเหล่านั้นพอสบพระเนตรพระราชาก็เก้อเขิน ก้มหน้ายืนเอาหัวนิ้วเท้าขุดพื้นดิน.

พระราชาเมื่อจะทรงประกาศแก่มหาชน ก็ได้ตรัสด้วยพระสุรเสียงอันดัง บทเดียวเท่านั้นว่า พวกเดียรถีย์ถูกขจัดแล้ว.

ครั้นตรัสพระดำรัสอย่างนี้แล้ว จึงทูลถามว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขึ้นชื่อว่า จิตย่อมเลื่อมใสในเหล่านิครนถ์อเจลกและปริพาชก เป็นต้น เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ก็ทานที่ให้แล้วในคนพวกไหนเล่ามีผลมาก.

บทว่า อญฺํ โข เอตํ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ถวายพระพร มหาบพิตรตรัสถามครั้งแรกอย่างหนึ่ง ครั้งหลังก็ทรงกำหนดอีกอย่างหนึ่ง แม้การตอบปัญหานี้ก็เป็นภาระหน้าที่ของอาตมภาพ จึงตรัสว่า สีลวโต โข เป็นต้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิธ ตฺยสฺส แยกเป็น อิธ เต อสฺส การยุทธ์พึงปรากฏต่อมหาบพิตรในที่นี้.

บทว่า สมุปพฺยุฬฺโห แปลว่า ปะทะกันเป็นกลุ่มๆ

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 520

บทว่า อสิกฺขิโต ได้แก่ ไม่ศึกษาในธนูศิลป์.

บทว่า อกตหตฺโถ ได้แก่ มีมือยังไม่พร้อม โดยการพันมือ เป็นต้น.

บทว่า อกตโยคฺโค ได้แก่ ยังฝึกไม่ชำนาญ ในการกองหญ้ากองดิน เป็นต้น.

บทว่า อกตุปาสโน ได้แก่ ฝีมือยิงธนูยังมิได้แสดง [ประลอง] ต่อพระราชาและมหาอมาตย์ของพระราชา.

บทว่า ฉมฺภี ได้แก่ มีกายสั่นเทา.

ในบทว่า กามฉนฺโท ปหีโน เป็นต้น กามฉันทะ เป็นอันละได้ด้วยพระอรหัตมรรค. พยาบาท ละได้ด้วยอนาคามิมรรค. ถีนมิทธะและอุทธัจจะ ก็ละได้ด้วยอรหัตมรรคเหมือนกัน กุกกุจจะ ละได้ด้วยมรรคที่ ๓ เหมือนกัน วิจิกิจฉา เป็นอันละได้ด้วยมรรคแรก.

บทว่า อเสกฺเขน สีลกฺขนฺเธน ความว่า สีลขันธ์ของพระอเสกขะ ชื่อว่า สีลขันธ์ ฝ่ายอเสกขะ.

ในบททุกบท ก็นัยนี้.

ก็บรรดาบทเหล่านั้น สีลสมาธิปัญญาและวิมุตติ ทั้งโลกิยะและโลกุตระ ท่านกล่าวด้วย ๔ บทต้น วิมุตติญาณทัสสนะ ย่อมเป็นปัจจเวกขณญาณ ปัจจเวกขณญาณนั้น เป็นโลกิยะเท่านั้น.

บทว่า อิสฺสตฺถํ ได้แก่ ธนูศิลป์.

ในบทว่า พลวิริยํ นี้ วาโยธาตุชื่อว่า พละ วิริยะก็คือความเพียรทางกายทางจิต.

บทว่า ภเร แปลว่า พึงเลี้ยง.

บทว่า นาสูรํ ชาติปจฺจยา ความว่า ไม่พึงเลี้ยงคนไม่กล้า เพราะถือชาติเป็นเหตุ อย่างนี้ว่า ผู้นี้สมบูรณ์ด้วยชาติ.

อธิวาสนขันติ ชื่อว่า ขันติ ในคำว่า ขนฺติโสรจฺจํ นี้.

บทว่า โสรจฺจํ ได้แก่ พระอรหัต.

บทว่า ธมฺมา ได้แก่ ธรรมทั้งสองนี้.

บทว่า อสฺสเม แปลว่า ที่อยู่.

บทว่า วิวเน แปลว่า ที่เป็นป่า อธิบายว่า พึงสร้างสระโบกขรณี ๔ เหลี่ยม เป็นต้น ในป่าที่ไม่มีน้ำ.

บทว่า ทุคฺเค ได้แก่ ในที่ขลุขละ.

บทว่า สงฺกมนานิ ความว่า พึงทำทางเดิน มีทรายสะอาดเกลี่ยเรียบ ๕๐ - ๖๐ ศอก.

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 521

บัดนี้ เมื่อจะตรัสบอกธรรมเนียมภิกขาจาร ของเหล่าภิกษุผู้อยู่ในเสนาสนะป่าเหล่านั้น จึงตรัสว่า อนฺนปานํ เป็นต้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เสนาสนานิ ได้แก่ เตียงและตั่ง เป็นต้น.

บทว่า วิปฺปสนฺเนน ความว่า แม้เมื่อจะถวายแก่พระขีณาสพ ไม่ถวายด้วยจิตมีความสงสัย มีมลทินคือกิเลส พึงถวายด้วยจิตที่ผ่องใสเท่านั้น.

บทว่า ถนยํ ได้แก่ คำราม.

บทว่า สตกฺกุกฺกุ ได้แก่ มีปลายร้อยหนึ่ง อธิบายว่า มียอดเป็นอันมาก.

บทว่า อภิสงฺขจฺจ ได้แก่ ปรุงแต่ง คือ รวบรวมทำเป็นอาหาร.

บทว่า อนุโมทมาโน ได้แก่ เป็นผู้มีใจยินดี.

บทว่า ปกิเรติ ได้แก่ เที่ยวในโรงทาน หรือประหนึ่งโปรยให้ทาน.

บทว่า ปุญฺธรา ได้แก่ ธารแห่งบุญที่สำเร็จมาแต่ทานเจตนามิใช่น้อย.

บทว่า ทาตารํ อภิวสฺสติ ความว่า สายน้ำที่หลั่งออกจากเมฆ ซึ่งตั้งขึ้นในอากาศ ย่อมตกรดแผ่นดินเปียกชุ่ม ฉันใด ธารแห่งบุญที่เกิดในภายในทายกแม้นี้ ก็หลั่งรดภายในทายกนั้นให้ชุ่มเต็มเปี่ยม ฉันนั้นเหมือนกัน ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ทาตารํ อภิวสฺสติ.

จบอรรถกถาอิสสัตถสูตรที่ ๔