ปฐมรโหคตสูตร
ใน สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ปฐมรโหคตสูตร ที่ ๑
ครั้งนั้น ท่านพระอนุรุทธะ อยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ครั้งนั้น ท่านหลีกเร้นอยู่ในที่ลับ ได้เกิดความปริวิตกขึ้นในใจอย่างนี้ว่า
สติปัฏฐาน ๔ อันชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง เบื่อแล้ว ชนเหล่านั้นชื่อว่า เบื่ออริยมรรค ที่จะให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ
สติปัฏฐาน ๔ อันชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ปรารภแล้ว ชนเหล่านั้นชื่อว่า ปรารภอริยมรรค ที่จะให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ
ลำดับนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะ รู้ความปริวิตกในใจของท่านพระอนุรุทธะด้วยใจ จึงไปปรากฏในที่เฉพาะหน้าท่านพระอนุรุทธะเหมือนบุรุษมีกำลัง เหยียดแขนที่คู้ หรือคู้แขนที่เหยียด ฉะนั้น ครั้งนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ถามท่านพระอนุรุทธะว่า ดูกร ท่านอนุรุทธะ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ ภิกษุจึงจะชื่อว่าปรารภ สติปัฏฐาน ไม่น่าที่ท่านพระมหาโมคคัลลานะจะถามท่านพระอนุรุทธะ แต่ท่านถามเพื่อให้เห็นว่า เป็นพระอรหันต์ที่ถามพระอรหันต์ เป็นคำตอบที่พระอรหันต์ตอบพระอรหันต์ ซึ่งไม่น่าจะถามเลย แต่เพื่อที่ให้ผู้ฟังในภายหลังไม่เข้าใจผิด ไม่คลาดเคลื่อน เพราะฉะนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ก็ได้ถามพระอนุรุทธะว่า ดูกร ท่านอนุรุทธะ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ ภิกษุจึงจะชื่อว่า ปรารภสติปัฏฐาน ดีใช่ไหม เพราะว่าจะได้ทราบว่า ใครเจริญสติปัฏฐาน ใครไม่เจริญสติปัฏฐานผู้ใดปรารภสติปัฏฐาน ผู้ใดไม่ปรารภสติปัฏฐาน
ที่มา ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 34
ท่านพระอนุรุทธะตอบว่า ดูกร ผู้มีอายุ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นธรรม คือ ความเกิดขึ้นในกาย ในภายในอยู่ พิจารณาเห็นธรรม คือ ความเสื่อมไปในกาย ในภายในอยู่ พิจารณาเห็นธรรม คือ ความเกิดขึ้นและเสื่อมไปในกาย ในภายในอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้
ข้อความต่อไปมีว่า ภิกษุนั้น ถ้าหวังอยู่ว่า ขอเราพึงเป็นผู้มีความสำคัญว่า ปฏิกูลในสิ่งไม่ปฏิกูลอยู่เถิด ก็ย่อมเป็นผู้มีความสำคัญว่า ปฏิกูลในสิ่งที่ไม่ปฏิกูลนั้นอยู่ ถ้าหวังอยู่ว่า ขอเราพึงเป็นผู้มีความสำคัญว่า ไม่ปฏิกูลในสิ่งปฏิกูลอยู่เถิด ก็ย่อมเป็นผู้มีความสำคัญว่า ไม่ปฏิกูลในสิ่งปฏิกูลนั้นอยู่ ถ้าหวังอยู่ว่า ขอเราพึงเป็นผู้เว้นขาดสิ่งไม่ปฏิกูลและสิ่งปฏิกูลทั้งสองนั้น แล้วมีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่เถิด ก็ย่อมเป็นผู้มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ ในสิ่งทั้งสองนั้นอยู่ แล้วต่อจากนั้นท่านกล่าวถึง ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรม คือ ความเกิดขึ้นในเวทนา ในภายในอยู่ พิจารณาเห็นธรรม คือ ความเสื่อมไปในเวทนา ในภายในอยู่พิจารณาเห็นธรรม คือ ความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปในเวทนา ในภายในอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ย่อมพิจารณาเห็นธรรม คือ ความเกิดขึ้นในเวทนา ในภายนอกอยู่ ฯลฯ ต่อไปเรื่อยๆ รวมทั้ง เป็นผู้มีความสำคัญว่า ปฏิกูลในสิ่งไม่ปฏิกูล และไม่ปฏิกูลในสิ่งปฏิกูลด้วย
และต่อจากนั้น ก็เป็นข้อความที่ว่า ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรม คือ ความเกิดขึ้นในจิต ในภายใน ฯลฯ ต่อไปเรื่อยๆ ในภายนอก รวมทั้งสิ่งปฏิกูลว่าไม่ปฏิกูล และสิ่งที่ไม่ปฏิกูลว่าปฏิกูล แล้วต่อจากนั้นก็เป็นข้อความว่า ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรม คือ ความเกิดขึ้นในธรรมทั้งหลาย ในภายใน ต่อไปถึงในภายนอก พิจารณาเห็นธรรม คือ ความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปในธรรมทั้งหลาย ทั้งภายในและภายนอกอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้
และต่อจากนั้นก็เป็นข้อความเรื่อง สำคัญว่าปฏิกูลในสิ่งไม่ปฏิกูล และสำคัญในสิ่งไม่ปฏิกูลว่าเป็นปฏิกูล ก็ย่อมเป็นผู้มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะในสิ่งทั้งสองนั้นอยู่ ดูกร ท่านผู้มีอายุ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล ภิกษุจึงชื่อว่า ปรารภสติปัฏฐาน ๔ ให้เว้นอะไรหรือไม่ แล้วท่านจะเว้นเองได้ไหม ไม่พิจารณาสิ่งโน้นสิ่งนี้ พิจารณาแต่เฉพาะสิ่งนั้นสิ่งนี้ แล้วจะละได้ไหม ในเมื่อผู้ที่ปรารภสติปัฏฐานนั้น พิจารณากาย พิจารณาเวทนา พิจารณาจิต พิจารณาธรรม เจริญความรู้ เพื่อละความไม่รู้ และไม่ได้มีข้อความเรื่องสถานที่เลย ผู้ที่ชื่อว่าปรารภสติปัฏฐาน คือ พิจารณากายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ไม่ได้มีข้อความที่ท่านพระอนุรุทธะกล่าวเรื่องของสถานที่
แต่ผู้ใดก็ตามเป็นผู้ปรารภสติปัฏฐาน เมื่อพิจารณากายในกาย พิจารณาเวทนาในเวทนา พิจารณาจิตในจิต พิจารณาธรรมในธรรมขณะไหนก็ได้ ถ้าท่านเป็นบรรพชิตอยู่ ณ สถานที่ใด มีเห็น มีได้ยิน มีสี มีเสียง มีกลิ่น มีรส มีโผฏฐัพพะ มีธัมมารมณ์ ท่านก็พิจารณาในขณะนั้น ถ้าท่านเป็นฆราวาส ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ตาม ไม่ใช่หลอกตัวเอง ไม่ใช่ไปสร้างอะไรขึ้นมารู้ แต่เวลาที่ท่านมีชีวิตปกติธรรมดาแล้วไม่มีปัญญา ไม่รู้ลักษณะของนามและรูปที่เป็นตัวท่านจริงๆ ก็ไม่มีทางที่จะละได้ เพราะเหตุว่าท่านยังผูกพันในบ้านเรือน ในวงศาคณาญาติ ท่านไม่ใช่บรรพชิตผู้ละโภคสมบัติน้อยบ้างมากบ้าง ละวงศ์ญาติเล็กบ้างใหญ่บ้าง ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต แต่ท่านไม่ใช่อย่างนั้น
ที่มา ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 35
