นาวาสูตร


    ได้รับฟังคำปรารภจากท่านผู้ฟังที่รู้สึกท้อใจว่า วันไหนหนอจึงจะได้รู้ลักษณะของนามและรูปตามความเป็นจริง ชีวิตนี้สั้นไม่เกิน ๑๐๐ ปี และอยู่กันมานานแล้ว ภพชาติในอดีตก็มากมายเหลือเกิน ถ้าไม่รู้ลักษณะของนามและรูปตามความเป็นจริงในปัจจุบันชาตินี้แล้ว ภพชาติข้างหน้าก็คงจะอีกยืดยาวต่อไปอีกนาน เพราะฉะนั้น ก็รู้สึกว่าเมื่อไรหนอจึงจะได้รู้ลักษณะของนามและรูปตามความเป็นจริง

    ไม่มีอะไรที่จะให้เหตุผลดียิ่งกว่าพระธรรมวินัย ที่ได้ทรงแสดงไว้ เป็นความจริงที่ว่า จะช้าหรือจะเร็วขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย ไม่ใช่ปลอบใจให้เร่งและให้บรรลุในชาตินี้ได้โดยที่เหตุไม่สมควรแก่ผล ทุกอย่างต้องเป็นไปตามเหตุผล พระผู้มีพระภาคไม่ได้ทรงแสดงธรรมอะไรที่จะปลอบใจคน ชักชวนให้มาหาพระธรรมวินัยของพระองค์ แต่ว่าทรงแสดงธรรมตามความเป็นจริงด้วยเหตุผล เพราะฉะนั้น ถ้าท่านผู้ใดมีความรู้สึกในทำนองนี้ ขอกล่าวถึง สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค นาวาสูตร มีข้อความว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุไม่ประกอบภาวนานุโยคอยู่ จะพึงเกิดความปรารถนาอย่างนี้ว่า ไฉนหนอ ขอจิตของเราพึงพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น ดังนี้ก็จริงอยู่ ถึงอย่างนั้นจิตของเธอย่อมไม่พ้นไปจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่นได้เลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร ข้อนั้นพึงกล่าวได้ว่า เพราะเธอไม่อบรม เพราะไม่อบรมอะไร เพราะไม่อบรมสติปัฏฐาน ๔ เพราะไม่อบรมสัมมัปปธาน ๔ เพราะไม่อบรมอิทธิบาท ๔ เพราะไม่อบรมอินทรีย์ ๕ เพราะไม่อบรมพละ ๕ เพราะไม่อบรมโพชฌงค์ ๗ เพราะไม่อบรมมรรคมีองค์ ๘ และมีข้อความต่อไปว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย รอยนิ้วมือย่อมปรากฏ หรือรอยนิ้วหัวแม่มือย่อมปรากฏที่ด้ามมีดของนายช่างไม้หรือลูกมือของนายช่างไม้ แต่นายช่างไม้หรือลูกมือของนายช่างไม้นั้นหารู้ไม่ว่า วันนี้ด้ามมีดของเราสึกไปประมาณเท่านี้ วานนี้สึกไปประมาณเท่านี้ วันก่อนๆ สึกไปประมาณเท่านี้ นายช่างไม้หรือลูกมือของนายช่างไม้นั้น มีความรู้แต่ว่าสึกไปแล้วๆ โดยแท้แล แม้ฉันใด ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุประกอบภาวนานุโยคอยู่ หารู้ไม่ว่า วันนี้ อาสวะทั้งหลายของเราสิ้นไปแล้วประมาณเท่านี้ วานนี้สิ้นไปแล้วประมาณเท่านี้ หรือวันก่อนๆ สิ้นไปแล้วประมาณเท่านี้ก็จริง ถึงอย่างนั้น เมื่ออาสวะสิ้นไปแล้ว เธอก็มีความรู้แต่ว่า สิ้นไปแล้วๆ ฉันนั้น เหมือนกันแล

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเรือที่เขาผูกด้วยตรวนแล่นไปในสมุทร จมลงในน้ำสิ้น ๖ เดือนโดยเหมันตสมัย เขาเข็นขึ้นบก ตรวนเหล่านั้นถูกลมและแดดกระทบแล้ว ถูกฝนตกรดแล้ว ย่อมผุและเปื่อยโดยไม่ยากเลย ฉันนั้น เหมือนกันแล

    เคยท้อใจไหม ถ้าเคยท้อใจก็ลองจับด้ามมีดดู ด้ามไม้ใหญ่ๆ แล้วก็จับไว้ทั้งวัน กำไว้ทั้งวันก็ยังไม่เห็นเลยว่าสึก พรุ่งนี้จับอีกก็ยังเหมือนเดิม จะอยู่ที่ไหนก็ตาม จะระลึกได้มากหรือน้อยก็เป็นนิสัยที่จะเป็นผู้สมบรูณ์ด้วยสติและรู้ลักษณะของนามและรูปมากขึ้น ซึ่งมีแต่ประโยชน์ ไม่เป็นโทษเลย

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นหนทางเดียวจริงๆ ต้องอบรมเจริญสติปัฏฐาน ปรารถนาสักเท่าไร หวังไป คอยไปกี่ภพ กี่ชาติ ถ้าผู้นั้นไม่เจริญสติปัฏฐานแล้ว ก็ไม่มีหนทางที่จะได้รู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริงเลย

    ขณะใดที่มีสติรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ จะเป็นนามหรือจะเป็นรูปก็ตาม ขอให้ทราบว่า ท่านมีศรัทธาในพระรัตนตรัย เพราะได้ฟังเรื่องของการเจริญสติปัฏฐาน เพราะได้ฟังน้อมใจเชื่อสภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า สิ่งใดก็ตามเกิดขึ้นปรากฏเพราะเหตุปัจจัย เป็นอนัตตา เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้น ถ้าศรัทธาในพระรัตนตรัย บูชาด้วยการปฏิบัติ หมายความว่าอะไร หมายความว่า ขณะใดที่มีสติระลึกได้ รู้ลักษณะของนามและรูปที่ปรากฏในขณะใด ในขณะนั้นเป็นปฏิบัติบูชา เป็นการบูชาด้วยการเจริญสติ เป็นการบูชาด้วยศรัทธา เชื่อในการตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคว่า หนทางนี้เป็นทางเดียวที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ เพราะเหตุว่าพระผู้มีพระภาคก็ตาม สาวกของพระผู้มีพระภาคก็ตาม ไม่ได้ปรารถนาอะไรจากผู้ฟังเลย นอกจากประโยชน์ของผู้ฟัง

    ทรงสอนเรื่องการเจริญสติปัฏฐานเพื่อประโยชน์ของใคร เพื่ออุปการะเกื้อกูลแก่การเจริญสติ และถ้าผู้หนึ่งผู้ใดมีศรัทธาก็หมายความว่า มีศรัทธาเกิดขึ้นพิจารณาสภาพของสิ่งที่ปรากฏ จึงจะชื่อว่าเชื่อในการตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคว่า พระผู้มีพระภาคตรัสรู้จริงๆ ว่า กำลังเห็นขณะนี้ก็เกิดดับ สีที่ปรากฏขณะนี้ก็เกิดดับ เพราะตรัสรู้อย่างไรก็แสดงธรรมอย่างนั้น จักขุวิญญาณไม่เที่ยง รูปารมณ์ไม่เที่ยง ไม่ใช่พระผู้มีพระภาคและพระอริยสาวกไม่รู้ แต่เพราะรู้อย่างไรก็แสดงอย่างนั้น จึงทรงแสดงว่า สภาพธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนั้น เป็นสภาพที่เกิดขึ้นและดับไป ไม่ใช่ตัวตน ถ้าเข้าใจและเชื่อในการตรัสรู้ เมื่อมีสติระลึกรู้ ขณะนั้นก็มีศรัทธาในพระรัตนตรัย แล้วก็เป็นปฏิบัติบูชาด้วย [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 34]


    หมายเลข 13481
    18 พ.ย. 2568