กปิลสูตร และ ยโสชสูตร


        ทุกคนปฏิสนธิจะเกิดอีก แต่ไม่ทราบว่าจะเป็นที่ไหน และ จะได้พบกันอีกหรือไม่ ถ้าเกิดในสวรรค์ พบกันก็จำได้ เพราะว่าเทพทั้งหลาย เป็นโอปปาติกะกำเนิด เป็นกำเนิดที่สามารถระลึกถึงชาติก่อนว่า จุติด้วยสภาพอย่างไร และด้วยผลของกรรมอะไรจึงทำให้ปฏิสนธิในเทพชั้นนั้นๆ แต่ถ้าเกิดเป็นมนุษย์อีก ต่างคนต่างเกิดเป็นมนุษย์ ก็ไม่มีการที่จะรู้ได้เลยว่า คนนี้ชาติก่อนเคยพบกันหรือเปล่า หรือเคยรักเคยชังกันสถานใด ถ้าเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ก็จำกันไม่ได้ ไม่มีทางรู้เลยว่า ใครเป็นใครในชาติไหน

        ปฏิสนธิจิตบางประเภทก็ทำให้เกิดในไข่ เช่น ไก่ ตุ๊กแก จิ้งจก แม้แต่เพียง การปฏิสนธิก็จะเห็นได้ว่า ช่างวิจิตรตามกรรม กรรมบางประเภทก็ทำให้เกิดใน เถ้าไคลที่ชื้นแฉะ เช่น พวกหนอน พวกแมลงต่างๆ และสำหรับในภูมิมนุษย์ก็ทำให้เกิดในครรภ์ สำหรับพวกเทพ และสัตว์นรก เปรต อสุรกาย ก็ทำให้เกิดเป็นตัว สมบูรณ์ขึ้นทันที เป็นโอปปาติกะกำเนิด

        สำหรับปฏิสนธิจิตที่จะเกิดต่อจากจุติจิตในชาตินี้ ขอกล่าวถึงเรื่องกรรม ที่บางท่านประมาทแล้วในครั้งพระผู้มีพระภาคพระองค์ก่อนๆ

        อรรถกถา ขุททกนิกาย สุตตนิบาต อรรถกถากปิลสูตรที่ ๖ มีข้อความว่า

        เมื่อพระผู้มีพระภาคพระนามว่ากัสสปะเสด็จปรินิพพานแล้ว กุลบุตร ๒ พี่น้องออกบวชแห่งสำนักของสาวกทั้งหลาย ผู้พี่ชื่อว่าโสธนะ ผู้น้องชื่อว่ากปิละ ท่านทั้งสองมีมารดาชื่อสาธนี มีน้องสาวชื่อตาปนา ทั้งมารดา และน้องสาวนั้นบวชในสำนักนางภิกษุณี

        บวชหมดทั้งครอบครัว ทั้งมารดา น้องสาว และบุตรชายทั้งสอง ก็ต้องเป็นผู้ที่มีศรัทธามาก แต่ควรที่จะไม่ประมาทในเรื่องของอกุศล

        ในบรรดาพระภิกษุทั้งสองนั้น พระภิกษุผู้พี่คิดว่า เราจะบำเพ็ญวาสธุระ (ธุระเป็นเครื่องอบรมตน ได้แก่ การอบรมเจริญวิปัสสนา) ดังนี้แล้วก็อยู่ในสำนักของอุปัชฌาย์ และอาจารย์ทั้งหลายเป็นเวลา ๕ ปี ไปสู่ป่า และได้บรรลุพระอรหัต

        พระกปิละคิดว่า เรายังหนุ่มอยู่ก่อน ในเวลาแก่แล้วเราจะบำเพ็ญแม้วาสธุระดังนี้แล้วก็เริ่มคันถธุระ ได้เป็นผู้ทรงพระไตรปิฎกแล้ว พระกปิละนั้นมีบริวาร เพราะอาศัยปริยัติ เพราะอาศัยบริวาร ลาภก็เกิด พระกปิละนั้นเมาด้วยการเมาในการที่ตนเป็นพาหุสัจจะ สำคัญตนว่าเป็นบัณฑิต มีความสำคัญว่าตนรู้ แม้ในสิ่งที่ตนยังไม่รู้ กล่าวสิ่งที่เป็นกัปปิยะที่ภิกษุเหล่าอื่นกล่าวแล้วว่าเป็นอกัปปิยะ (คือ กล่าวสิ่งที่สมควรว่าเป็นสิ่งที่ไม่สมควร) แม้สิ่งที่เป็นอกัปปิยะก็กล่าวว่าเป็นกัปปิยะ แม้สิ่งที่มีโทษก็กล่าวว่าไม่มีโทษ แม้สิ่งที่ไม่มีโทษก็ว่ามีโทษ

        ศึกษามาก แต่เมาด้วยลาภสักการะ และเพราะเหตุใดจึงกล่าวผิดจากที่ พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ น่าคิดมากทีเดียว

        ต่อแต่นั้น พระกปิละนั้น อันพระภิกษุทั้งหลายผู้มีศีลเป็นที่รักโอวาทอยู่ โดยนัยว่า ท่านอย่าได้พูดอย่างนี้ ดังนี้ เป็นต้น ก็เที่ยวพูดขู่ตะคอกภิกษุทั้งหลายด้วยคำทั้งหลายว่า พวกท่านเหมือนกับคนมีกำมือเปล่าจะรู้อะไร ดังนี้ เป็นต้น อยู่นั้นแล

        ภิกษุทั้งหลายได้บอกเรื่องนี้แม้แก่พระโสธนเถระ ผู้เป็นพี่ชายของท่าน แม้พระโสธนเถระนั้นก็เข้าไปหาพระกปิละนั้น แล้วกล่าวกับพระกปิละว่า อย่าได้พูดแม้แต่สิ่งที่เป็นกัปปิยะว่าไม่เป็นกัปปิยะ แม้สิ่งที่มีโทษว่าไม่มีโทษ ท่านพระกปิละนั้น ก็ไม่สนใจคำของท่านพระโสธนเถระผู้เป็นพี่ชาย

        ลำดับนั้น ท่านพระโสธนเถระได้กล่าวกับท่านพระกปิละว่า

        ผู้อนุเคราะห์จะพึงพูดคำหนึ่งหรือสองคำ ไม่พึงพูดให้มากไปกว่านั้น เพราะว่าถ้าท่านผู้อนุเคราะห์จะพึงกล่าวให้มากไปกว่านั้น จะพึงมีโทษในสำนักของพระอริยะได้

        แม้แต่การที่จะเตือน หรือการที่จะกล่าว ถ้าพูดมากกว่าที่ควรจะพูด ก็อาจจะทำให้ผู้ฟังเข้าใจผิดได้ คือ ไม่ได้เข้าใจเจตนาจริงๆ ของผู้พูด เพราะในขณะที่กำลังเป็นอกุศล ย่อมไม่เห็นว่าสิ่งใดถูก และสิ่งใดผิด สิ่งใดควร และสิ่งใดไม่ควร เพราะฉะนั้น ผู้ที่รู้สภาพธรรมแล้ว ท่านจึงกล่าวว่า ผู้อนุเคราะห์จะพึงพูดคำหนึ่ง หรือสองคำ ไม่พึงพูดให้มากไปกว่านั้น

        เป็นเรื่องความละเอียดของจิตซึ่งจะต้องระวังว่า สำหรับผู้ฟัง ถ้าฟังแล้วเกิดอกุศลไปใหญ่โต ผู้พูดก็ยุติเสีย เพื่อไม่ให้ผู้ฟังเกิดอกุศลมากไปอีก

        ท่านพระโสธนเถระกล่าวว่า พระกปิละเองจะปรากฏด้วยกรรมของตนเอง ดังนี้ แล้วก็หลีกไป จำเดิมแต่นั้น ภิกษุทั้งหลายที่มีศีลเป็นที่รัก ก็ทอดทิ้งพระกปิละนั้นเสีย

        พระกปิละนั้นเป็นผู้ประพฤติชั่ว มีพระภิกษุประพฤติชั่วแวดล้อมอยู่ วันหนึ่ง คิดว่า เราจะลงอุโบสถ แล้วก็ขึ้นสู่อาสนะอันประเสริฐ จับพัดอันวิจิตร พอนั่งลงก็พูดขึ้น ๓ ครั้งว่า

        อาวุโสทั้งหลาย ปาติโมกข์ย่อมควรแก่ภิกษุทั้งหลายในที่นี้หรือ

        ครั้งนั้น แม้ภิกษุรูปหนึ่งก็ไม่ได้พูดว่า ปาติโมกข์ย่อมควรแก่ข้าพเจ้า ทั้งก็ไม่ได้พูดว่า ปาติโมกข์ย่อมควรแก่พระกปิละนั้น หรือแก่พระภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น

        ลำดับนั้น พระกปิละนั้นก็พูดว่า เมื่อปาติโมกข์พวกเราฟังก็ดี ไม่ฟังก็ดี ชื่อว่าวินัยไม่มีหรอก ดังนี้แล้วก็ลุกขึ้นจากอาสนะ

        พระกปิละนั้น ทำพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะ ให้เสื่อมถอย คือ ให้พินาศแล้ว ด้วยประการฉะนี้

        ในกาลต่อมา ท่านพระโสธนเถระก็ปรินิพพาน พระกปิละก็มรณะ และเกิดในอเวจีมหานรก มารดา และน้องสาวของพระกปิละที่มีความเห็นตามท่าน และด่าบริภาษภิกษุทั้งหลายที่มีศีลเป็นที่รัก เมื่อสิ้นชีวิตแล้วก็เกิดในนรก

        ในสมัยเดียวกัน ขณะนั้นก็มีเรื่องของบุคคลอื่นที่ได้กระทำกรรมต่างๆ กันด้วย ซึ่งข้อความใน อรรถกถากปิลสูตร มีว่า

        ก็ในกาลครั้งนั้น บุรุษประมาณ ๕๐๐ คน ทำบาปกรรมทั้งหลาย

        จะเห็นได้ว่า กรรมของแต่ละชีวิต แต่ละภพ แต่ละชาติของแต่ละคนก็ ต่างกันไป สำหรับบุรุษประมาณ ๕๐๐ คนนี้

        ทำบาปกรรมทั้งหลายมีการฆ่าชาวบ้านเป็นต้น เลี้ยงชีวิตด้วยความเป็นโจร ถูกพวกมนุษย์ในชนบทติดตามหนีไปอยู่ ได้เข้าไปสู่ป่า ไม่เห็นที่กำบังหรือที่นั่งอะไร ในป่านั้น ได้เห็นภิกษุผู้อยู่ป่าเป็นวัตรรูปหนึ่ง ซึ่งอยู่ในที่ไม่ไกล ก็ได้เข้าไปไหว้แล้วกล่าวว่า ขอท่านจงเป็นที่พึ่งของพวกกระผม

        พระเถระกล่าวว่า

        ที่พึ่งเช่นกับศีลสำหรับท่านทั้งหลายไม่มี ขอให้ท่านทุกคนจงสมาทานเบญจศีล โจรเหล่านั้นรับคำแล้วก็สมาทานศีล

        พระเถระกล่าวว่า

        บัดนี้พวกท่านเป็นผู้มีศีลแล้ว เมื่อท่านทั้งหลายแม้ถูกปลงชีวิตของตนให้พินาศอยู่ ท่านทั้งหลายอย่าได้ประทุษร้ายใจ (อย่าโกรธ)

        ไม่ทำร้ายใจของตนเอง คือ โดยการที่ไม่โกรธ

        พวกโจรเหล่านั้นรับคำแล้ว

        เวลาที่รับศีล ควรจะไม่โกรธ ดีไหม

        ครั้งนั้น ชาวชนบทเหล่านั้นมาถึงที่นั้นแล้วก็มองหาอยู่ ข้างโน้นบ้าง ข้างนี้บ้าง ก็ได้พบโจรเหล่านั้น แล้วก็พากันปลงชีวิตเสียสิ้นทุกคน โจรเหล่านั้นทำกาละ (สิ้นชีวิต) แล้วบังเกิดในสวรรค์

        ถ้าใครสามารถทำอย่างโจรได้ คือ กำลังถูกฆ่าอยู่ก็ไม่โกรธ ขณะนั้นผลของกุศลจิตที่เกิดก่อนจุติจิตเป็นชนกกรรม ทำให้กุศลวิบากจิตปฏิสนธิในสวรรค์ เพราะฉะนั้น แทนที่จะไปคิดถึงว่าถ้าโจรมาฆ่าก็จะไม่โกรธ ไม่ต้องเป็นโจรก็ได้ ใครก็ได้ ไม่ต้องฆ่าก็ได้ ทำอะไรก็ได้ และไม่โกรธ ขณะนั้นถ้าจุติจิตเกิด กุศลจิต ซึ่งเกิดก่อนจุติเป็นชวนะสุดท้าย จะเป็นชนกกรรมทำให้ปฏิสนธิในสุคติภูมิได้ แต่ต้องไม่โกรธจริงๆ เพราะว่าเห็นประโยชน์ของความไม่โกรธ และเห็นโทษของความโกรธ

        เป็นไปได้ ถ้าจะไม่โกรธเสียเดี๋ยวนี้ และต่อๆ ไป เพราะว่าจะปฏิสนธิเมื่อไร ไม่ทราบ ปฏิสนธิสำหรับชาติหน้าจะเกิดเมื่อไรไม่ทราบ ถ้ากระทำอยู่เสมอจนกระทั่งเป็นอาจิณณกรรม ก็จะทำให้หวังได้ว่า กรรมนั้นจะทำให้เกิดในสวรรค์ได้

        บรรดาโจรเหล่านั้น โจรผู้เป็นหัวหน้าได้เป็นเทพบุตรผู้เป็นหัวหน้า โจรนอกนี้ ได้เป็นบริวารของเทพบุตรผู้เป็นหัวหน้านั่นเอง ท่านเหล่านั้นท่องเที่ยวกลับไปกลับมาอยู่ ให้พุทธันดรหนึ่งสิ้นไปในเทวโลก แล้วเคลื่อนจากเทวโลกในกาลแห่งพระพุทธเจ้าของเราทั้งหลาย คือ ในสมัยของพระผู้มีพระภาคพระสมณโคดมพระองค์นี้

        เทพบุตรผู้เป็นหัวหน้าได้ถือปฏิสนธิในท้องแห่งภรรยาของชาวประมง ผู้เป็นหัวหน้าสกุล ๕๐๐ สกุล ในบ้านชาวประมงซึ่งมีอยู่ที่ประตูเมืองสาวัตถี เทพบุตรพวกนี้ได้ถือปฏิสนธิในครรภ์ของภรรยาชาวประมงที่เหลือทั้งหลาย เขาเหล่านั้นได้ถือปฏิสนธิ และออกจากครรภ์ในวันเดียวกันนั้นเอง ด้วยประการฉะนี้

        นี่อีกภพหนึ่ง อีกชาติหนึ่ง หลายๆ ภพ หลายๆ ชาติจากสมัยพระผู้มีพระภาคพระกัสสปะซึ่งเป็นโจร จนกระทั่งถึงได้ไปเกิดบนสวรรค์ และในที่สุดได้เกิดในตระกูลของชาวประมง

        ครั้งนั้น แม้ภิกษุชื่อกปิละ ก็มาเกิดเป็นปลาสีเหมือนทอง แต่ปากเหม็น ในแม่น้ำอจิรวดี ด้วยเศษกรรมที่เหลือจากการเกิดในนรก

        เป็นพระภิกษุชาติหนึ่งชาติใด และเกิดในนรก และก็เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน มีรูปร่างที่วิจิตรมาก คือ เป็นปลาสีเหมือนทอง แต่ปากเหม็น

        ต่อมาวันหนึ่ง เด็กชาวประมงเหล่านั้นทั้งหมด ถือเอาแหไปจับปลา เมื่อ ทอดแหแล้วได้ปลาทองตัวนั้น ซึ่งทั้ง ๕๐๐ คนนั้นก็ได้นำปลาไปให้พระเจ้า ปเสนทิโกศลทอดพระเนตร

        เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลทอดพระเนตรเห็นปลาสีทองก็ทรงดำริว่า พระผู้มีพระภาคจักทรงทราบเหตุที่ปลานี้มีสีทอง ดังนี้แล้วจึงรับสั่งให้นำปลานั้นไปยังสำนักของพระผู้มีพระภาคด้วย ในเวลาที่ปลาอ้าปากขึ้น พระเชตวันก็มีกลิ่นเหม็นอย่างยิ่ง

        ใครจะรู้ไหมว่า อกุศลวิบากจะเกิดขึ้นในขณะไหนสำหรับผู้ที่อยู่ ณ พระวิหาร เชตวันในขณะนั้น

        พระราชาทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า

        ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะเหตุไร ปลาจึงเกิดเป็นปลามีสีทอง และ เพราะเหตุไร กลิ่นเหม็นจึงฟุ้งออกจากปากของปลานั้น

        พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

        มหาบพิตร ปลานี้เป็นภิกษุพหูสูต ผู้เรียนจบปริยัติ ชื่อว่ากปิละ ในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระนามว่ากัสสปะ เป็นผู้ด่าบริภาษภิกษุทั้งหลาย ซึ่งไม่เชื่อถ้อยคำของตน เป็นผู้ทำศาสนาของพระผู้มีพระภาคให้เสื่อมไป เพราะกรรมที่เธอทำพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นให้เสื่อมไป เธอจึงเกิดใน อเวจีมหานรก แล้วก็มาเกิดเป็นปลาในบัดนี้ด้วยเศษแห่งวิบาก ด้วยผลอันไหลออกแห่งกรรมที่เธอได้กล่าวพระพุทธพจน์ สรรเสริญพระพุทธคุณเป็นเวลานาน เธอจึงมีวรรณะเช่นนี้ เพราะเหตุที่เธอได้ด่าบริภาษภิกษุทั้งหลาย กลิ่นเหม็นจึงฟุ้งออกจากปากของปลานั้น

        นี่คือผลของกรรมที่วิจิตร

        ต่อไปเป็นข้อความที่แสดงโทษของบรรพชิตผู้ไม่อบรมตน ซึ่งมีข้อความว่า

        ก็ผู้ใดผู้หนึ่งสละเพศคฤหัสถ์ ถ้าแม้บวชด้วยการเข้าถึงเหตุสักว่า การปลงผม และการนุ่งผ้าย้อมฝาดเป็นต้น ถ้าหากว่าเป็นคนปากกล้า คือว่าเป็นผู้พูดคำหยาบ ยินดีในการเบียดเบียน เพราะพอใจในความเบียดเบียนอันมีประการต่างๆ เป็นผู้ประดุจเนื้อร้าย เพราะเป็นผู้ที่เช่นกับเนื้อร้าย เพราะไม่มีหิริโอตตัปปะ โดยที่แท้บุคคลเห็นปานนี้ ได้แก่ ภิกษุที่ยินดีในการทะเลาะเพราะเป็นคนมีปากจัด ถูกโมหะธรรมรึงรัดแล้ว เพราะถึงความงมงายในการที่จะรู้แจ้งซึ่งอรรถแห่งสุภาษิต ย่อม ไม่ทราบแม้ซึ่งคำที่ภิกษุทั้งหลายผู้มีศีลเป็นที่รักกล่าวแล้ว ไม่รู้จักพระธรรมที่ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ คือ ไม่รู้จักพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แม้ตนจะกล่าวอยู่โดยประการต่างๆ แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น ชีวิตของภิกษุนั้น ชื่อว่าเป็นชีวิตชั่ว

        ข้อความต่อไปน่าพิจารณา ซึ่งมีข้อความว่า

        ท่านทั้งหลายทั้งปวงจงเป็นผู้สามัคคีกัน เว้นบุคคลนั้นเสีย และอย่าถึงความขวนขวายน้อยด้วยเหตุสักว่าการเว้นภิกษุนั้นเท่านั้น แต่โดยที่แท้แล ท่านทั้งหลาย จงกำจัดบุคคลนั้นผู้เป็นเพียงดังแกลบ จงคร่าบุคคลผู้เป็นดังหยากเยื่อออกเสีย คือว่า จงคร่าบุคคลผู้เป็นดังหยากเยื่อนั้นโดยไม่ต้องใยดีประดุจหยากเยื่อ และจงคร่าบุคคล ผู้เพียงดังแกลบ ประดุจราชบุรุษคร่าคนจัณฑาลซึ่งเป็นโรคเรื้อนมีแผลแตกไหลออก ผู้เข้าไปท่ามกลางแห่งกษัตริย์เป็นต้น คือว่าท่านทั้งหลายจงจับบุคคลนั้นที่มือหรือ ที่ศีรษะแล้วคร่าออกไป เหมือนอย่างท่านพระมหาโมคคัลลานะจับปาปบุคคลนั้น ที่แขนดึงออกไปจากซุ้มประตูภายนอกแล้วใส่ลูกดาล (กุญแจ) เสีย แม้ฉันใด ท่านทั้งหลายก็จงคร่าบุคคลนั้นเสียฉันนั้น

        ถามว่า เพราะเหตุไร

        ตอบว่า ชื่อว่าสังฆารามเขาสร้างไว้สำหรับผู้มีศีลทั้งหลาย ไม่ได้สร้างไว้สำหรับภิกษุทั้งหลายที่ทุศีล ต่อแต่นั้นไป ท่านทั้งหลายจงขับบุคคลลีบ ผู้ไม่ใช่สมณะ ซึ่งถือตัวว่าเป็นสมณะออกไปเสีย เหมือนอย่างว่า ข้าวลีบทั้งหลายแม้ปราศจากข้าวสารในภายใน แต่ก็ปรากฏเหมือนข้าวเปลือก เพราะมีแกลบอยู่ข้างนอก ฉันใด ปาปภิกษุทั้งหลายก็ฉันนั้น แม้เว้นจากคุณสมบัติมีศีลเป็นต้นในภายใน แต่ก็ปรากฏเหมือนกับภิกษุด้วยบริขารมีผ้ากาสาวะเป็นต้นในภายนอก พระผู้มีพระภาคจึง ตรัสเรียกว่า ปลาปา คนลีบ ท่านทั้งหลายจงคร่าบุคคลลีบเหล่านั้นเสีย คือ จงโปรยไป ได้แก่กำจัดบุคคลลีบเหล่านี้เสีย ซึ่งไม่ใช่สมณะโดยปรมัตถ์ แต่สำคัญตนว่าเป็นสมณะ ในภาวะสักว่าเพศ ครั้นกำจัดผู้มีความปรารถนาลามก ผู้มีอาจาระ และโคจรอันลามกได้แล้วอย่างนี้ เธอทั้งหลายผู้บริสุทธิ์แล้ว มีความเคารพกัน และกัน จงสำเร็จการอยู่ร่วมด้วยบุคคลผู้บริสุทธิ์ทั้งหลาย

        ในที่สุดแห่งพระเทศนา บุตรชาวประมงจำนวน ๕๐๐ เหล่านั้น ถึงความสังเวช สลดใจ ปรารถนาจะทำที่สุดทุกข์ ได้บรรพชาในสำนักของพระผู้มีพระภาค ต่อกาล ไม่นานเลย ก็กระทำที่สุดทุกข์ได้ ได้เป็นผู้มีการบริโภคเป็นอันเดียวกันกับ พระผู้มีพระภาค ด้วยการบริโภคธรรมคืออเนญชวิหารสมาบัติ

        ไม่ใช่เพียงแต่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระอรหันต์เท่านั้น ท่านเหล่านั้น ยังได้บรรลุถึงจตุตถฌานโดยจตุกกนัยด้วย

        แต่ก่อนที่ท่านเหล่านี้จะบรรลุอรหัตตผล ท่านเหล่านี้ก็มีความประพฤติที่ ท่านเองเกิดความสลดใจ ดังข้อความใน ขุททกนิกาย อุทาน ยโสชสูตร ข้อ ๗๑ มีข้อความโดยย่อว่า

        ชาวประมง ๕๐๐ คนนี้ หลังจากที่บวชแล้ว สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ก็สมัยนั้น พระภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป มีพระยโสชะเป็นประมุข เดินทางมาถึงพระนครสาวัตถีโดยลำดับเพื่อจะเฝ้าพระผู้มีพระภาค ก็ภิกษุอาคันตุกะเหล่านั้นปราศรัยกับภิกษุทั้งหลายผู้เป็นเจ้าถิ่น ปูลาดเสนาสนะ เก็บบาตร และจีวรกันอยู่ ได้ส่งเสียงอื้ออึง

        ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสถามท่านพระอานนท์ว่า ใครนั่นมีเสียงอื้ออึงเหมือนชาวประมงแย่งปลากัน ท่านพระอานนท์กราบทูลให้ทรงทราบ พระผู้มีพระภาคตรัสให้ท่านพระอานนท์เรียกภิกษุเหล่านั้นมาเฝ้าแล้วตรัสถามว่า เพราะเหตุใด ภิกษุทั้งหลายจึงส่งเสียงอื้ออึงเหมือนชาวประมงแย่งปลากัน ท่านพระยโสชะก็ได้ กราบทูลให้ทรงทราบ

        พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

        ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงไป เราประณามเธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายไม่ควรอยู่ในสำนักของเรา

        สมควรไหมที่จะตรัสอย่างนั้น

        ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว ลุกจากอาสนะ ถวายบังคม พระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณแล้ว เก็บเสนาสนะ ถือบาตร และจีวรหลีกจาริกไป ทางวัชชีชนบท เที่ยวจาริกไปในวัชชีชนบทโดยลำดับ ถึงแม่น้ำวัคคุมุทานที กระทำกุฎีมุงด้วยใบไม้ เข้าจำพรรษาอยู่ใกล้แม่น้ำวัคคุมุทานที

        มาเฝ้าด้วยความหวังที่จะได้นมัสการ ได้ฟังพระธรรม แต่ต้องผิดหวังกลับไป เพราะการกระทำของตนเอง ที่ส่งเสียงดังอื้ออึงมากในขณะที่จัดเตรียมเสนาสนะกับภิกษุซึ่งเป็นเจ้าถิ่น

        ครั้งนั้น ท่านพระยโสชะเข้าจำพรรษาแล้ว เรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วกล่าวว่า

        ท่านผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคทรงใคร่ประโยชน์ ทรงแสวงหาประโยชน์ ทรงอนุเคราะห์ ทรงอาศัยความอนุเคราะห์ประณามเราทั้งหลาย

        เห็นว่าเป็นความผิดของพวกท่านเอง ไม่ใช่ความผิดของพระผู้มีพระภาคเลย

        ท่านกล่าวต่อไปว่า

        พระผู้มีพระภาคพึงทรงใคร่ประโยชน์แก่เราทั้งหลายผู้อยู่ประการใด ขอเราทั้งหลายจงสำเร็จการอยู่ด้วยประการนั้นเถิด

        คือ ทราบว่าพระมหากรุณาที่ทรงอนุเคราะห์ อนุเคราะห์เพื่อให้ประพฤติปฏิบัติธรรม เมื่อทราบว่าเป็นความมุ่งหมายของพระองค์ ท่านก็กล่าวเตือนพวกภิกษุของท่านว่า ขอเราทั้งหลายจงสำเร็จการอยู่ด้วยประการนั้นเถิด

        ภิกษุเหล่านั้นรับคำของท่านพระยโสชะแล้ว หลีกออกจากหมู่ ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่ ทุกๆ รูปได้ทำให้แจ้งซึ่งวิชชา ๓ ภายในพรรษานั้นเอง

        นอกจากจะเป็นพระอรหันต์แล้ว ยังสามารถได้ฌานสมาบัติด้วย

        ข้อความในอรรถกถามีว่า

        ก็บรรดาภิกษุเหล่านี้ที่พระผู้มีพระภาคทรงประณามอย่างนี้ แม้รูปเดียวก็มิได้ ให้คำตอบว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ทรงประณามข้าพระองค์ด้วยเหตุ เพียงเสียงดัง หรือมิได้ให้คำอะไรๆ อื่น ด้วยพุทธคารวะ

        คือ ไม่โต้ตอบเลยทั้งสิ้น เพราะว่าเป็นความจริงอย่างนั้น เป็นความผิดของท่านเอง

        ภิกษุทั้งหมด เมื่อรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคจึงกราบทูลว่า เป็นอย่างนั้นพระเจ้าข้า แล้วพากันออกไป

        ซึ่งข้อความในอรรถกถาแสดงว่า พระภิกษุทั้งหลายท่านก็เสียใจ เพราะการที่ท่านมาเฝ้าพระผู้มีพระภาค

        ก็ด้วยความคิดว่า พวกเราจักเฝ้าพระศาสดา จักฟังธรรม จักอยู่ในสำนัก พระศาสดา แต่พวกเรามายังสำนักพระศาสดาผู้เป็นครูเห็นปานนี้ กระทำเสียงดัง นี้เป็นโทษของพวกเราเท่านั้น พวกเราถูกประณามเพราะโทษ เราไม่ได้อยู่ใน สำนักพระศาสดา ไม่ได้ชมพระโฉมมีวรรณะดังทองคำอันนำมาซึ่งความเลื่อมใส รอบด้าน ไม่ได้ฟังพระธรรมที่ทรงแสดงด้วยพระสุรเสียงอันไพเราะ

        และพวกท่านก็พิจารณารู้ว่า

        เราถูกประณามเพราะอาศัยความอนุเคราะห์ ไม่ใช่ถูกประณามเพราะหวังความขวนขวายเป็นต้นของตน

        คือ พระผู้มีพระภาคไม่ได้ทรงประณามเพราะว่าทรงพอพระทัยที่จะประณาม แต่ทรงประณามเพื่อจะอนุเคราะห์

        เพราะเหตุที่พระผู้มีพระภาค ผู้หนักในธรรม ผู้ทรงประณามเพราะเหตุเพียง ทำเสียงดัง จึงควรบูชาพระองค์ด้วยสัมมาปฏิบัติเท่านั้น คือ เราจะบำเพ็ญ อปัณณกปฏิปทา ด้วยการประกอบสติสัมปชัญญะในที่ทุกสถาน

        เมื่อเราอยู่โดยประการใด พระผู้มีพระภาคพึงเป็นผู้มีพระทัยยินดี คือ อันพวกเราพึงให้พอพระทัยด้วยสัมมาปฏิบัติบูชา

        แสดงให้เห็นว่า ทุกท่านที่เกิดระลึกได้ในความผิดของตนเอง ก็มีโอกาสรู้ว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุเคราะห์เรื่องอะไร คือ ทรงอนุเคราะห์เพื่อให้ทุกท่าน มีสัมมาปฏิบัติ เมื่อเกิดการระลึกได้ ก็เริ่มสัมมาปฏิบัติได้

        ข้อความต่อไปในพระไตรปิฎกมีว่า

        ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในพระนครสาวัตถีตามพระอัธยาศัยแล้ว เสด็จจาริกไปทางพระนครเวสาลี เสด็จถึงพระนครเวสาลีแล้วประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน ใกล้พระนครเวสาลี

        ซึ่งข้อความในอรรถกถาได้กล่าวถึงข้อความอีกตอนหนึ่งที่ว่า

        ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายผู้ประทับอยู่ในที่แห่งหนึ่ง พระองค์ย่อมไม่ทรง ไม่ยินดีเพราะอาศัยความวิบัติแห่งร่มเงา และน้ำ หรือเสนาสนะอันไม่เป็นที่สบาย หรือความที่พวกมนุษย์ไม่มีศรัทธาเป็นต้น หรือแม้การประทับอยู่นานด้วยทรงพระดำริว่า อยู่เป็นผาสุกเพราะความสมบูรณ์ ก็ไม่มีแก่พระผู้มีพระภาคทั้งหลาย

        ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ที่ใด มนุษย์ทั้งหลายในที่นั้นตั้งอยู่ในสรณะ สมาทานศีล บรรพชา หรือบรรลุโสตาปัตติมรรคเป็นต้น พระองค์จึงประทับอยู่ เพื่อให้มนุษย์เหล่านั้นตั้งอยู่ในสมบัติเหล่านั้น

        นี่เป็นเหตุผลที่ประทับในที่ต่างๆ เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จไปจากสาวัตถี ก็เพราะว่าในกาลนั้นพระองค์ไม่มีพุทธกิจที่จะพึงกระทำในพระนครสาวัตถี จึงได้ เสด็จไปทางกรุงเวสาลี

        ข้อความต่อไปในพระไตรปิฎกมีว่า

        เมื่อพระผู้มีพระภาคประทับที่พระนครเวสาลีแล้ว ก็ทรงทราบด้วยพระทัยว่า ท่านพระยโสชะ และภิกษุเหล่านั้นบรรลุพระอรหันต์แล้ว พระองค์ตรัสให้ ท่านพระอานนท์ให้ภิกษุรูปหนึ่งไปหาท่านพระยโสชะ และภิกษุเหล่านั้น และให้บอกว่า พระผู้มีพระภาครับสั่งให้หาท่านทั้งหลาย ซึ่งท่านพระยโสชะ และภิกษุเหล่านั้นก็ได้ เข้ามาเฝ้าพระผู้มีพระภาคในขณะที่พระองค์ประทับนั่งอยู่ด้วยอเนญชสมาธิ (คือ จตุตถฌานโดยจตุกกนัย) ท่านพระยโสชะ และภิกษุทั้งหลายก็นั่งอยู่ด้วย อเนญชสมาธิเช่นเดียวกับพระองค์ตลอดปฐมยาม มัชฌิมยาม และปัจฉิมยาม

        เมื่อราตรีล่วงไปแล้ว อรุณขึ้นแล้ว ท่านพระอานนท์ก็ลุกจากอาสนะ กระทำ ผ้าอุตตราสงฆ์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประณมอัญชลีไปทางที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า

        ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ราตรีล่วงไปแล้ว ปัจฉิมยามผ่านไปแล้ว อรุณขึ้นแล้ว ราตรีรุ่งอรุณ ภิกษุอาคันตุกะทั้งหลายนั่งอยู่นานแล้ว ขอพระผู้มีพระภาคทรงปราศรัยกับภิกษุอาคันตุกะทั้งหลายเถิด พระเจ้าข้า

        คือ ไม่ทราบเลยว่า ท่านพระยโสชะ และภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นบรรลุอรหันต์ และได้ฌานสมาบัติ และไม่ว่าพระผู้มีพระภาคจะประทับนั่งด้วยสมาบัติใด ภิกษุเหล่านั้นก็อยู่ด้วยสมาบัตินั้นตลอด ตั้งแต่ปฐมยาม มัชฌิมยาม และปัจฉิมยาม

        ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากสมาธินั้น แล้วตรัสกับท่าน พระอานนท์ว่า

        ดูกร อานนท์ ถ้าว่าเธอพึงรู้ไซร้ ความแจ่มแจ้งแม้มีประมาณเท่านี้ก็ไม่พึงปรากฏแก่เธอ ดูกร อานนท์ เรา และภิกษุ ๕๐๐ เหล่านี้ทั้งหมด นั่งแล้วด้วย อเนญชสมาบัติ

        ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า

        ภิกษุใดชนะหนาม คือ กาม ชนะการด่า การฆ่า และการจองจำได้แล้ว ภิกษุนั้นมั่นคงไม่หวั่นไหวดุจภูเขา ภิกษุนั้นย่อมไม่หวั่นไหวในเพราะสุข และทุกข์ ฯ

        เกิดมาทั้งชาติ ทุกชาติๆ หวั่นไหวมากเหลือเกินในเรื่องสุข และทุกข์ จนกว่าจะถึงวาระที่ไม่หวั่นไหวในสุขในทุกข์ คิดดู เมื่อไรจะถึงอย่างนั้น ถ้าไม่ได้อบรม เจริญปัญญาจริงๆ

        แต่จะเห็นได้ว่า ถ้ายังเป็นผู้ที่ประมาทในเรื่องของกรรมแม้เล็กๆ น้อยๆ ถ้ากรรมนั้นให้ผล ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่า แม้เป็นภิกษุพหูสูต มีบริวาร มีลาภสักการะ ก็ยังเกิดในนรก และเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน

        ที่มา ...

        แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1801

        แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1802


    หมายเลข 12929
    30 ม.ค. 2567