บุปผรัตตชาดก โทษของโลภมูลจิต ทิฏฐิคตวิปปยุตต์


    สำหรับเรื่องของความทุกข์ทางกาย ซึ่งมีมาก และเห็นอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะตามโรงพยาบาล ก็ย่อมมีการเจ็บไข้ได้ป่วย ความทุกข์ต่างๆ และมีโรคบางโรคที่ ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย แต่ก็ซอกแซกเป็นจนได้ ตราบใดที่ยังมี รูปร่างกายตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า และสำหรับคนที่ยังมีกิเลสอยู่ ย่อมทนได้ทุกอย่าง ไม่ว่าทุกข์ทางกายจะมากมายสักเท่าไรเพื่อที่จะไม่ให้เกิดทุกข์ทางใจ คือ เพื่อที่จะได้สิ่งที่ปรารถนา ที่ต้องการ ยอมที่จะทนความยากลำบากทุกอย่าง ซึ่งทุกท่านควรที่จะพิจารณาข้อความในพระไตรปิฎกเป็นอุทาหรณ์ เป็นตัวอย่างว่า สมควรที่จะให้ความทุกข์นั้นๆ เกิดขึ้นมีกำลังจนกระทั่งทำให้ได้รับความทุกข์ทางกายในสังสารวัฏฏ์ ต่อๆ ไปอีกหรือไม่

    ขอยกเรื่องในอดีตเรื่องหนึ่งให้เห็นความทุกข์ใจ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดทุกข์กายอย่างสาหัส แต่ก็ไม่อาจจะพรากจากกิเลส และดับทุกข์ได้ แม้ว่ากำลังมีความทุกข์กาย อย่างมาก

    ข้อความใน อรรถกถาชาดก เอกนิบาต อรรถกถาบุปผรัตตชาดกที่ ๗ มีว่า

    ณ พระวิหารเชตะวัน พระผู้มีพระภาคตรัสอดีตชาติของพระภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งประสงค์จะลาสิกขาบทกลับไปหาภรรยาเก่าผู้มีรสมืออร่อย จนภิกษุนั้นไม่อาจจะพรากจากกันได้

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ในอดีตชาตินานมาแล้วนั้น ภรรยาเก่าของภิกษุนั้น ก็ได้นำทุกข์อย่างใหญ่หลวงมาให้ภิกษุนั้น

    ในสมัยที่พระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในพระนครพาราณสี ครั้งนั้น ในพระนครพาราณสีมีมหรสพกลางคืนวันเพ็ญกลางเดือน ๑๒ ผู้คนพากันตบแต่งบ้านเรือนสวยงามราวกับเทพนคร คนทั้งปวงก็มุ่งจะเล่นมหรสพ

    มีคนเข็ญใจคนหนึ่ง มีผ้าเนื้อแน่นอยู่คู่เดียวเท่านั้น เขาเอามาซักให้สะอาด ฟาดลงเลยขาดเป็นริ้วเป็นรอยนับร้อยนับพัน ครั้งนั้นภรรยาพูดกับเขาว่า ฉันอยากจะนุ่งผ้าย้อมดอกคำสักผืนหนึ่ง ห่มผืนหนึ่ง กอดคอท่านเที่ยวตลอดงานประจำราตรี เดือนกัตติกะ

    เขากล่าวว่า นางผู้เจริญ เราเข็ญใจจะมีผ้าย้อมดอกคำได้ที่ไหน เธอจงนุ่งผ้าขาวเที่ยวเล่นเถิด

    นางกล่าวว่า เมื่อไม่ได้ผ้าย้อมดอกคำ ฉันจักไม่เล่นกีฬาในงานมหรสพละ เธอพาหญิงอื่นเล่นกีฬาเถิด

    เขากล่าวว่า นางผู้เจริญ ทำไมจึงคาดคั้นฉันนักเล่า เราจักได้ผ้าย้อมดอกคำมาจากไหน

    นางกล่าวว่า เมื่อความปรารถนาของลูกผู้ชายมีอยู่ มีหรือจะชื่อว่าไม่สำเร็จ ดอกคำในไร่ดอกคำของพระราชามีมากมิใช่หรือ

    นี่ไม่ใช่คำกล่าวตรงๆ เพียงพูดแนะเท่านั้นเอง

    สามีกล่าวว่า นางผู้เจริญ ที่นั่นมีการป้องกันแข็งแรง เราไม่อาจเข้าไปใกล้ ได้ดอก เธออย่าชอบใจเลย จงยินดีตามที่ได้มาเท่านั้นเถิด

    นี่ก็เห็นกำลังของโลภมูลจิตทิฏฐิคตวิปปยุตต์ คือ ความยินดีพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ แม้ว่ายังไม่ได้ประกอบด้วยความเห็นผิดใดๆ ในเรื่องของโลก ในเรื่องของชีวิต ในเรื่องของกรรม ในเรื่องวิบากเลย แต่ก็เป็นความพอใจซึ่งมีอยู่ในภพหนึ่งชาติหนึ่ง แล้วแต่ว่าจะมีกำลังแรงในขณะไหน เมื่อไร ซึ่งภรรยาก็ไม่ละความปรารถนา และไม่ละความพยายาม ได้กล่าวกับสามีว่า

    เมื่อความมืดในยามรัตติกาลมีอยู่ ขึ้นชื่อว่าสถานที่ที่ลูกผู้ชายจะไปไม่ได้ ไม่มีเลย

    คือ แนะนำกลายๆ ให้แอบไปในตอนกลางคืน ท่านผู้ฟังคิดว่า ความปรารถนาในผ้าย้อมดอกคำผืนหนึ่ง อกุศลจิตชวนะต้องเกิดมากมายเท่าไร ยังไม่ทันจะได้มาเลย เพราะฉะนั้น ชีวิตของแต่ละคน ทันทีที่เกิดความปรารถนา ความต้องการ ไม่ว่าจะต้องการรูป ต้องการเสียง ต้องการกลิ่น ต้องการรส ต้องการสัมผัสใดๆ ก็ตาม ให้ทราบว่า กว่าความปรารถนานั้นจะสำเร็จได้แต่ละครั้งๆ อกุศลชวนจิตเกิดมากมายนับไม่ถ้วน แต่ก็เป็นสิ่งที่ไม่มีใครละ ไม่มีใครเลิก ยังมีคนพยายามที่จะให้ความหวังหรือความต้องการนั้นสำเร็จไป แม้ว่าอกุศลจะมากมาย สักเท่าไรก็ตาม

    เมื่อภรรยาพูดเซ้าซี้อยู่บ่อยๆ อย่างนี้ เขาก็เชื่อถือถ้อยคำของนางด้วยอำนาจกิเลส พอถึงเวลากลางคืน ก็เสี่ยงชีวิตออกจากพระนครไปสู่ไร่ดอกดำของหลวง ปีนรั้วเข้าไปในไร่ พวกคนเฝ้าไร่ได้ยินเสียงต่างร้องว่า ขโมย ขโมย แล้วล้อมจับไว้ได้ ช่วยกันรุมจับทำร้าย มัดไว้ ครั้นสว่างแล้วก็พาไปมอบพระราชา

    พระราชารับสั่งว่า ไปเถิดพวกเจ้า จงเอามันไปเสียบเสียที่หลาว

    คนเหล่านั้นมัดเขาไพล่หลัง พาออกจากเมือง โดยมีคนตีกลองประกาศโทษประหารตามไปด้วย แล้วเอาไปเสียบที่หลาว เขาเสวยทุกขเวทนาแสนสาหัส

    คิดดู ถูกเสียบหลาวทั้งเป็น

    ฝูงกาพากันไปเกาะที่ศีรษะ จิกนัยน์ตาด้วยจะงอยปากอันคมเหมือนปลายคีม เขาไม่ได้ใส่ใจทุกข์แม้จะสาหัสเพียงนั้น คิดถึงแต่หญิงนั้นอย่างเดียว รำพึงว่า เราพลาดโอกาสจากงานประจำราตรีในเดือนกัตติกะ กับนางผู้นุ่งผ้าย้อมด้วยดอกคำ แล้วกล่าวคาถามีความว่า ที่เราถูกหลาวเสียบนี้ก็ไม่เป็นทุกข์ ที่ถูกกาจิกเล่าก็ ไม่เป็นทุกข์ เราทุกข์อยู่แต่ว่า นางผิวทองจักไม่ได้นุ่งห่มผ้าย้อมดอกคำ เที่ยวงานประจำราตรีแห่งเดือนกัตติกะ ดังนี้

    นี่คือความทุกข์ใจ ทุกข์กายที่ว่ามีมากบางคนทนได้ แต่ว่าทุกข์ใจ ก็ยังคง คร่ำครวญพร่ำเพ้อบ่นถึงภรรยาอยู่อย่างนี้จนตายไปเกิดในนรก

    เพราะฉะนั้น น่าจะเห็นโทษ แต่ก็ไม่เห็นจริงๆ จนกว่าปัญญาจะเกิด และรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง และดับกิเลสตามลำดับขั้น ซึ่งยังไม่ใช่ การดับความยินดีพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ แต่ต้องดับ ความยินดีในความเห็นผิดที่ยึดถือนามธรรมรูปธรรมว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน และความเห็นผิดอื่นๆ ทั้งหมดก่อน มิฉะนั้น จะไม่สามารถดับกิเลส ใดๆ ได้เลย

    ยังคงเป็นอย่างนี้ ใช่ไหม ทุกคน ชีวิตของท่านต้องได้รับความทุกข์ทางกาย แต่ทุกข์ใจยังคงมีอยู่มากกว่าทุกข์กายได้ เปรียบเทียบดูว่า ถ้ากลัวทุกข์กายอย่างนั้น จะดับได้อย่างไร เพราะแม้บรรลุคุณธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์แล้วก็ยังมี อกุศลวิบากทางกาย หรือทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น จนกว่าจะปรินิพพาน

    เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นโทษจริงๆ ก็จะเป็นอนุสสติที่เตือนให้ระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทันทีได้ นี่เป็นโทษของโลภมูลจิต ทิฏฐิคตวิปปยุตต์ คือ ไม่ประกอบด้วยความเห็นผิด ก็ยังทำให้เกิดการกระทำที่เป็นอกุศลกรรม

    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1508


    หมายเลข 12945
    15 เม.ย. 2567