ส่วนละเอียดของสภาพธรรมคืออะไร


    ผู้ฟัง ส่วนละเอียดของสภาพธรรมคืออะไร

    ท่านอาจารย์ เห็น เกิดดับ ละเอียดไหม คิดนึก เกิดดับ ละเอียดไหม รูปแม้แต่เย็น ร้อน อ่อน แข็ง เกิดดับ ละเอียดไหม ยังไม่รู้ลักษณะของรูป แล้วจะรู้ได้ไหมว่า รูปนั้นเกิดจากสมุฏฐานอะไร ผู้รู้สามารถบอกได้ในความละเอียดยิ่ง แม้แต่ ๑ ขณะจิต

    อย่างเราพูดเรื่องโลก พูดเรื่องชีวิต มีทฤษฎีมากมาย แต่จะรู้จักชีวิต และรู้โลกจริงๆ เมื่อไร ตามตำราที่อ่านมาเล่มนั้นบ้าง เล่มนี้บ้าง หรือถ้าจะกล่าวถึงชีวิตแต่ละ ๑ ขณะจิตนั่นเอง ถ้าไม่มีสภาพธรรมที่เกิดดับสืบต่อแต่ละขณะจิต จะเป็นชีวิตได้อย่างไร ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าจะให้รู้จริงๆ ไม่ใช่เพียงฟังเรื่องชีวิต เกิดมาแล้วแก่ แล้วเจ็บ แล้วก็ตาย แล้วพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ประจวบกับสิ่งที่ไม่รัก แล้วกล่าวว่า นั่นคือชีวิต เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวสุข เดี๋ยวขึ้น เดี๋ยวลง เดี๋ยวได้ลาภ เดี๋ยวเสื่อมลาภ แล้วกล่าวว่านั่นคือชีวิต ยังไม่พอ จริงๆ คือทุกขณะที่สั้นแสนสั้นที่เกิดแล้วดับไป ผู้ที่รู้จักชีวิตจริงๆ ก็รู้ความจริงของสภาพนั้น ถึงสามารถกล่าวว่า นั่นคือชีวิต นั่นคือโลก สภาพธรรมที่เกิดดับ

    เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเราจะอ่าน หรือเราจะคิดเรื่องใดๆ ก็ตาม โดยทฤษฎี โดยความคิดเห็นของแต่ละบุคคล ก็ไม่สามารถรู้ความจริงของธรรมได้ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมให้เข้าใจจริงๆ ซึ่งแม้แต่คำว่า ชีวิต แม้แต่เรา แม้แต่โลก แม้แต่โต๊ะ แม้แต่เก้าอี้ แม้แต่ต้นไม้ทั้งหมด ซึ่งเป็นสภาพธรรมซึ่งเล็ก ละเอียด เกิดแล้วก็ดับ ทั้งนามธรรมรูปธรรม แล้วอย่างนี้จะเป็นเราได้ หรือไม่ เพียงฟังแค่นี้ แล้วทำไมไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม เป็นไปไม่ได้เลย แค่ฟังเหมือนอุปกรณ์ที่ทำให้เวลาที่มีการรู้ลักษณะของสภาพธรรม ก็สามารถคลายความไม่รู้ คลายความยึดถือได้ อยากจะรับประทานแกงสักอย่างหนึ่ง ทำอย่างไร ทำไมไม่มีแกงให้รับประทาน หรืออย่างไร

    ผู้ฟัง ก็ต้องแสวงหา

    ท่านอาจารย์ หาอะไร

    ผู้ฟัง หาอุปกรณ์เครื่องปรุง

    ท่านอาจารย์ เครื่องใช้ เครื่องปรุงทุกอย่าง กว่าจะเป็นสภาพธรรมหนึ่งเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ทั้งหมดนี่การจะรู้ได้ว่า ไม่มีคำตอบอื่นนอกจากพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ ที่จะกล่าวถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงอย่างละเอียด ตรงตามความเป็นจริง ไม่คลาดเคลื่อนตั้งแต่ขั้นปริยัติจนถึงขั้นปฏิเวธ เมื่อแทงตลอดสภาพธรรมก็คืออย่างนี้ เดี๋ยวนี้ เป็นจริงอย่างนี้

    ผู้ฟัง อย่างนั้นสภาพธรรมไม่พ้นจากกายสี่เหลี่ยมนี้เอง ดูความคิดนึกถ้าออกไปพ้นจากนี้ ก็ยิ่งหาธรรมะไม่เจอ หรือ

    ท่านอาจารย์ ถ้ามีแต่รูปธรรม ไม่มีนามธรรมเลย จะมีใครสักคนไหม อะไรจะปรากฏได้ไหม รูปทั้งหลายที่เกิดจากอุตุ ภูเขา แม่น้ำ ทะเลสาบ น้ำตก เกิดเพราะอุตุ เมื่อมีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลมเกิดดับสืบต่อ ก็เริ่มที่จะมีสภาพธรรมปรากฏเพิ่มขึ้นๆ ตามปัจจัย คือ ธาตุไฟ หรืออุตุนั่นเอง แต่ถ้าไม่มีธาตุรู้ คือ ไม่มีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะมีใครรู้บ้างไหมว่า มีโลกอย่างนั้นๆ หรือมีสภาพธรรมอย่างนั้นๆ

    เพราะฉะนั้น ที่ว่าเป็นคุณสุกัญญา เพราะมีเห็น ๑ ขณะของชีวิตที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป เวลาที่มีได้ยินเกิดขึ้น ที่เป็นคุณสุกัญญาได้ยิน ก็คือ ๑ ขณะของชีวิต ซึ่งแตกย่อย ละเอียดมาก รวดเร็ว ถ้าไม่มีการเข้าใจตามลำดับในขั้นการฟัง ไม่มีทางที่จะประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมได้ แต่เมื่อเป็นสิ่งที่มีจริงๆ และปรากฏ และเกิดดับด้วย ก็แสดงให้เห็นว่า อวิชชาเท่านั้นที่ไม่สามารถรู้ความจริง เมื่อเป็นอวิชชาแล้วจะเห็นสภาพธรรมถูกต้องตามความเป็นจริงไม่ได้เลย แต่เมื่อเป็นปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น กว่าจะเป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่ง ลองคิดดู ฟังกี่ชาติ เข้าใจเท่าไร มีการระลึกได้ที่จะเข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ แต่ยังไม่ชิน ยังไม่เห็นว่า เป็นแต่เพียงธรรมะแต่ละอย่าง จนกว่าเมื่อไรก็ตามที่เห็น ไม่มีความเห็นผิดใดๆ อีกเลย เพราะสามารถเข้าถึงความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมซึ่งกว่าจะประจักษ์การเกิดดับได้ ต้องชินที่จะรู้ในความเป็นธรรมะของสภาพธรรม จนคลายความเป็นเรา หรือความติดข้อง ไม่ใช่ไปเข้าใจอย่างอื่น ไม่ใช่ไปรู้อย่างอื่น ไม่ใช่ประจักษ์แจ้งอย่างอื่น แต่สิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ตามปกติ


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 369


    หมายเลข 12921
    31 ส.ค. 2567