อะไรเป็นตัวตน


        ผู้ฟัง คือคำถามวันนี้ก็เนื่องจากเมื่อวานนี้ในเรื่องความเห็นถูกกับความเห็นผิด เพราะว่าเดิมทีสงสัยว่าความเห็นผิดคืออะไร ความเห็นถูกคืออะไร จะสงสัยในจุดนี้อยู่ตลอดเวลา และรู้สึกว่ามีความเห็นผิดตลอดเวลา ไม่ใช่ความเห็นถูก และอีกอย่างหนึ่งเหมือนกับมีความไม่เชื่ออยู่ตลอดเวลาว่า จะต้องศึกษาธรรมในส่วนละเอียด เพราะว่าธรรมะเป็นของยาก ทั้งเรื่องวิถีจิต และธรรมะในส่วนละเอียด และไม่เชื่ออยู่ตลอดเวลาว่า ธรรมะส่วนละเอียดจะเกื้อกูลปัญญาให้มีความเข้าใจในเรื่องสภาพธรรมะเพิ่มมากขึ้น แต่ก็ศึกษา และฟังเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง พอตอนหลังๆ เมื่อจะเข้าใจก็เข้าใจขึ้นมาเอง โดยที่ไม่มีความตั้งใจที่จะเข้าใจ ก็เข้าใจได้ ถึงมีความรู้สึกว่า ความเป็นอนัตตามีจริงๆ และบทที่จะเข้าใจก็เข้าใจเอง โดยที่วันหนึ่งก็เข้าใจขึ้นมาได้ โดยที่ไม่รู้ว่า ทำไมถึงเข้าใจ ก็เลยมีความรู้สึกว่า เป็นสิ่งที่มีจริงๆ แล้วก็ใช่จริงๆ ส่วนเรื่องของความเห็นถูกกับความเห็นผิดก็ยังติดค้างอยู่ในใจ ก็เลยต้องมาถามจากเมื่อวานนี้ แล้ววันนี้ยังถามท่านอาจารย์อยู่

        อ.วิชัย คงไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ แต่ต้องเกิดจากการสั่งสม และพร้อมด้วยเหตุปัจจัยที่จะให้ความเข้าใจเกิดขึ้น ถ้าไม่เคยได้ยินได้ฟังพระธรรมมาก่อนเลย ความเข้าใจที่จะเกิดขึ้นก็ไม่ใช่ฐานะที่จะเป็นไปได้ แสดงว่ามีการสั่งสมที่เคยได้ยินได้ฟังมาแล้ว ได้สั่งสมความเข้าใจมาแล้ว จึงมีปัจจัยที่จะให้ปัญญาเกิดขึ้น เข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมากขึ้น

        ผู้ฟัง ในขณะที่กราบเรียนถามท่านอาจารย์ ก็มีความเป็นตัวตนที่อยากรู้ อยากถาม และสงสัย

        ท่านอาจารย์ คุณสุกัญญาเป็นพระอริยบุคคล หรือยัง

        ผู้ฟัง ไม่ได้เป็น

        ท่านอาจารย์ ก็ยังมีความสงสัยอยู่แน่นอน

        ผู้ฟัง แต่ก็มีความรู้สึกว่า ความเป็นตัวตนที่อยากรู้ หรือสงสัยก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ

        ท่านอาจารย์ อะไรเป็นตัวตน

        ผู้ฟัง อะไรเป็นตัวตน

        ท่านอาจารย์ คุณสุกัญญาบอกว่า ขณะที่ถามมีความเป็นตัวตนอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นอะไรที่เป็นตัวตน

        ผู้ฟัง ก็ตัวโลภะที่อยาก

        ท่านอาจารย์ โลภะเป็นคุณสุกัญญา หรือว่าเป็นธรรมะ

        ผู้ฟัง จริงๆ ก็เป็นธรรมะอย่างหนึ่ง

        ท่านอาจารย์ แล้วจะว่าเป็นคุณสุกัญญาได้อย่างไร นี่คือขั้นเข้าใจ แต่เวลาเกิดขึ้นเพราะไม่รู้ความจริง จึงเข้าใจว่าโลภะนั้นเป็นเรา ด้วยเหตุนี้โลภะเป็นอะไรกันแน่ เป็นคุณสุกัญญาจริงๆ หรือเป็นสิ่งที่มีจริง เป็นธรรมะ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อมีเหตุปัจจัย ก่อนอื่นต้องเป็นผู้ตรงที่จะมีความเข้าใจถูกแม้ในขั้นการฟัง โลภะเป็นคุณสุกัญญาจริงๆ หรือว่าเป็นธรรมะอย่างหนึ่ง

        ผู้ฟัง โลภะจริงๆ ก็ต้องเป็นโลภะ

        ท่านอาจารย์ ไม่ใช่คุณสุกัญญา

        ผู้ฟัง แต่ว่ามันแนบสนิทกับตัวเรา

        ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ถ้าเริ่มมีความเข้าใจถูกต้องว่า โลภะไม่ใช่คุณสุกัญญา ถ้าโลภะไม่เกิด จะมีการยึดถือว่าโลภะนั้นเป็นตัวคุณสุกัญญาได้ไหม แต่เพราะโลภะเกิดแล้วไม่รู้ อะไรก็ตามเป็นเราหมด ไม่ว่าเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึกเรื่องราวต่างๆ ก็เป็นเรา เป็นตัวตน จนกว่าจะมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น นี่ยังไม่ถึงขั้นประจักษ์แจ้ง เพียงแค่การฟังที่จะให้มีความเห็นถูก ในขั้นพิจารณาถูก เข้าใจถูก สัมมาสังกัปปะ ได้ยินคำนี้บ่อย วิตก การตรึก หรือความคิดถูก เกิดไม่ง่าย เพราะว่าเคยคิดผิดมามาก เคยเป็นตัวตน เคยเป็นเรา กว่าจะมีความเข้าใจถูกว่า ไม่ใช่เรา ถ้ามีความรู้ว่าเป็นธรรมะ พูดถูกขึ้น คิดถูกขึ้น ทำถูกขึ้น เพราะรู้ว่าไม่มีตัวตน แต่มีธรรมะที่เป็นเหตุ และมีธรรมะที่เป็นผลแน่นอน

        เพราะฉะนั้น ทั้งหมดที่เป็นความเห็นถูกก็จะค่อยๆ เข้าใจถูกขึ้นตามลำดับขั้น แต่ไม่ใช่หมายความว่าเพียงเท่านี้แล้วจะไม่มีตัวตน ถ้าเพียงฟังแล้วเป็นพระโสดาบันได้ เพราะว่ารู้สภาพธรรมขณะนี้ตามความเป็นจริง ก็ไม่ต้องมีการอบรมอะไร ไม่มีปัญญาหลายๆ ขั้นซึ่งกว่าจะถึงการดับกิเลสได้ ถึงความเป็นพระโสดาบันได้ ปัญญาต้องเจริญขึ้นอีกมาก

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 369


    หมายเลข 12923
    16 ม.ค. 2567