062 ภารสูตร
สนทนาพระสูตร ตอนที่ ๖๒
ที่ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
วันเสาร์ที่ ๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
คุณอุไรวรรณ พระสูตรที่จะนำมาสนทนากันวันนี้ คือ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้า ๕๘
ภารสูตร
ว่าด้วยขันธ์ ๕ เป็นภาระ
[๔๙] ณ กรุงสาวัตถี. ที่นั้นแล ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงภาระ ผู้แบกภาระ การถือภาระ และการวางภาระ แก่เธอทั้งหลาย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภาระเป็นไฉน พึงกล่าวว่า ภาระ คือ อุปาทานขันธ์ ๕ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นไฉน คือ อุปาทานขันธ์ คือ รูป อุปาทานขันธ์ คือ เวทนา อุปาทานขันธ์ คือ สัญญา อุปาทานขันธ์ คือ สังขาร และ อุปาทานขันธ์ คือ วิญญาณ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าภาระ.
[๕๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ผู้แบกภาระเป็นไฉน พึงกล่าวว่า บุคคลบุคคลนี้นั้น คือ ท่านผู้มีชื่ออย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ผู้แบกภาระ.
[๕๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็การถือภาระเป็นไฉน ตัณหานี้ใดนำให้เกิดภพใหม่ ประกอบด้วยความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิดเพลิน มีปกติเพลิดเพลินยิ่งในภพหรืออารมณ์นั้นๆ ได้แก่ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า การถือภาระ. พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้า ๕๙
[๕๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็การวางภาระเป็นไฉน ความที่ตัณหานั่นแลดับไปด้วยสำรอกโดยไม่เหลือ ความสละ ความสละคืน ความพ้น ความไม่อาลัย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าการวางภาระ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้พระสุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกในภายหลังว่า
[๕๓] ขันธ์ ๕ ชื่อว่า ภาระ แล และผู้แบกภาระคือบุคคล การถือภาระเป็นเหตุนำมาซึ่งความทุกข์ในโลก การวางภาระเสียได้เป็นสุข บุคคลวางภาระหนักเสียได้แล้ว ไม่ถือภาระอื่น ถอนตัณหาพร้อมทั้งมูลรากแล้ว เป็นผู้หายหิว ดับรอบแล้วดังนี้.
จบ ภารสูตรที่ ๑
อ. อรรณพ ถ้าเราไม่ได้ศึกษาพระธรรม ในชีวิตเรา เราก็คิดว่าเรามีภาระต่างๆ ที่จะต้องทำหรือจะต้องเป็นสิ่งที่ต้องบริหารจัดการในแต่ละวันๆ อยู่ตลอดเช่นเมื่อมีร่างกายนี้แล้วก็ต้องบริหารร่างกายมีการอาบน้ำเป็นต้น หรือว่าการทำธุรกิจการงานต่างๆ แต่จริงๆ แล้วภาระจริงๆ ตลอดสังสารวัฎนี้คืออะไร ภาระจริงๆ ก็คือ การที่เมื่อมีเหตุปัจจัยให้เกิดมาแล้ว ก็มีสภาพธรรม คือมีนามธรรมรูปธรรม ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ทรงจำแนกสภาพธรรมที่เกิดดับ โดยนัยของขันธ์ ๕ ก็คือรูปขันธ์ ซึ่งเป็นสภาพที่ไม่รู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย เป็นกองธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณธ์ ก็คือนามธรรม เพราะฉะนั้นขันธ์ทั้ง ๕ ก็เป็นที่ยึดถือของตัญหาคือโลภะหรือว่าของทิฏฐิ เพราะฉะนั้น ตราบใดที่ยังมีความยึดถือด้วยโลภะแล้วก็ด้วยทิฏฐิ ขันธ์ที่ยึดถือนั้นก็คืออุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เพราะฉะนั้นพระองค์ทรงแสดงพระธรรมหลากหลาย เพื่อที่จะละคลายความยึดถือในสภาพธรรมโดยการที่รู้ตามความเป็นจริง
ผู้ฟัง การทำบุญหรือทำบาปก็ตาม ก็ต้องไปเกิด และบริหารขันธ์ ๕ นั้นใหม่อีก ถ้าอายุยืน ๗๐ ปีก็นั่งบริหารอยู่อย่างนี้แหละ มันก็ไม่ใช่เป็นสิ่งซึ่งปรารถนา แต่เราก็ปรารถนา ตัณหามันอยู่ตรงไหน
ท่านอาจารย์ ตัณหาก็อยู่ที่ว่าเราไม่รู้จักภาระที่แท้จริง เพราะเหตุว่าเราก็อาจจะคิดว่ามีเราที่มีภาระ แต่ความจริงแล้วถ้าไม่มีขันธ์ ๕ คือไม่มีรูปไม่มีเวทนาไม่มีสัญญาไม่มีสังขารไม่มีวิญญาณจะมีภาระอะไรหรือเปล่า เพราะว่าโดยมาก เราคิดถึงภาระภายนอกที่เราต้องทำ แต่ว่าตามความเป็นจริงแล้วเพียงแต่ขันธ์มีเกิดขึ้น ก็จะต้องเป็นภาระที่จะต้องบริหาร โดยเฉพาะคือเราถือภาระนั้นไว้ ด้วยความยึดถือในสิ่งที่มี เพราะฉะนั้นการที่จะฟังธรรมเพื่อให้เข้าใจตัวเอง ให้รู้จักตัวเองตามความเป็นจริง เพราะแต่ละคนก็คือขันธ์ แต่ว่ายังไม่รู้จักว่าเป็นขันธ์ ยังเข้าใจว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้นก็ยังถือทั้งความยึดมั่นแล้วก็ความที่เห็นผิด ยึดถือขันธ์ว่าเป็นเราด้วย เพราะฉะนั้นทรงแสดงธรรมทั้งหมด ให้เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงว่าสิ่งที่เรายึดถือไว้ดีหรือเปล่า เป็นภาระหรือเปล่า กว่าจะเห็นว่าแท้ที่จริงแล้ว เมื่อไม่มีเรา ก็มีแต่ภาระ เราไม่มี แต่ว่ามีภาระคือมีขันธ์ ๕ แล้วก็มีความยึดถือในขันธ์ ๕ ทำให้เราแบกภาระนี้มากนักกว่าผู้ที่ค่อยๆ คลายความยึดถือในภาระ จนกระทั่งสามารถเป็นผู้ที่จะวางภาระได้ แต่ก็เป็นเรื่องที่ยาก เพราะว่าแม้ว่าจะทรงแสดงโดยสั้นๆ แต่เราก็จะต้องพิจารณาลึกๆ ว่าจะวางได้อย่างไร ไม่ใช่เพียงบอกแล้วเราก็สามารถที่จะทำได้ แต่เป็นการที่จะฟังพระธรรมจนกระทั่งเข้าใจจริงๆ ความเข้าใจนั่นแหละจะค่อยทำให้เห็นภาระว่าเป็นภาระ ไม่ฉะนั้นเราก็ไม่เคยรู้เลย ว่าภาระอยู่ที่ไหน อยู่ที่ใคร อยู่ที่ขันธ์ ๕ ที่เกิดนั่นเอง
ผู้ฟัง ท่านแสดงบอกว่า เพลิดเพลินอยู่ในอารมณ์นั้นๆ ได้แก่ความเป็นอัตตามีอยู่ในที่ใดๆ ก็มีความยินดีในที่นั้นๆ มีความเพลิดเพลินในอารมณ์ พวกทำให้เราต้องเกิดใหม่
ท่านอาจารย์ ตัญหาคือความติดข้องคือความเพลิดเพลิน เพราะเหตุว่าถ้ามีขันธ์แล้วที่จะไม่รู้อะไรเลยได้ไหม เพราะว่าวิญญาณขันธ์เป็นสภาพรู้หรือธาตุรู้ ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นก็ต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด และไม่ใช่รู้เท่านั้น เช่นขณะนี้กำลังเห็น ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมโดยละเอียดจะไม่ทราบเลยว่ามีความติดข้องในสิ่งที่เห็น เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องของภาระที่ถือไว้ในการเห็น
อ. ธิดารัตน์ ส่วนใหญ่ก็จะไม่ได้รู้สึกเลยว่าขันธ์ ๕ นี้เป็นภาระ ถ้าหากว่าเราไม่ได้ศึกษาธรรมจะไม่รู้สึกเลยว่าขันธ์ ๕ เป็นภาระ เราก็อยู่ด้วยความติดข้องในรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณของเราเลยว่าเป็นตัวตนเป็นตัวเราในขณะนั้น อันนั้นก็ด้วยอำนาจของโลภะ และทิฏฐิก็คืออุปทาน ซึ่งยึดขันธ์ทั้ง ๕ นั่นเอง แล้วทำอย่างไรเราถึงจะทราบว่าเป็นภาระจริงๆ หมายถึงว่าเราจะรู้ในขณะไหนได้
ท่านอาจารย์ จะรู้ได้อย่างไรว่า ขันธ์ ๕ เป็นภาระ ถ้าไม่มีขันธ์จะไปยึดติดอะไรไหม
อ. ธิดารัตน์ ก็คงไม่ยึด
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีเลยก็ไม่มีภาระ แต่ที่มีขันธ์ก็คือว่า มีเห็น แล้วก็มีการยึดถือสภาพธรรมที่ปรากฏด้วย เพราะฉะนั้นก็ทำให้มีขันธ์อีกมากมายเกิดดับสืบต่อไม่จบในสังสารวัฎ ก็จะต้องเป็นอย่างนี้ไป ซึ่งถ้าเข้าใจจริงๆ ว่าไม่มีเรา แต่เป็นสภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ตั้งแต่ไหนแต่ไร จนกระทั่งขณะนี้ จนกระทั่งต่อๆ ไป ก็จะเห็นได้ว่าไม่มีอะไรนอกจากภาระที่จะต้องเกิดขึ้นแล้วก็ทำกิจการงานต่างๆ
อ. อรรณพ ขันธ์ ๕ กับ ปรมัตถธรรม คือสภาพธรรม คือนามธรรมรูปธรรม จำแนกเป็นปรมัตถธรรม ๔ ปรมัตถธรรม ๓ คือ จิต เจตสิก รูป ทรงจำแนกเป็นขันธ์ ๕ รูปทั้งหมดรูปปรมัตถ์ พระองค์ทรงแสดงเป็นกองของรูปหรือรูปขันธ์ ขันธ์แปลว่ากองหรือว่าเป็นหมวดหมู่ของธรรม ส่วนเจตสิกเป็นขันธ์ ๓ อย่างไรบ้าง คือเวทนาเจตสิกเป็นสภาพความรู้สึกเป็นเวทนาขันธ์ ส่วนสัญญาขันธ์ สภาพธรรมก็คือสัญญาเจตสิกเป็นสภาพที่จำ จำในสิ่งที่จิตรู้หรือว่าจำในอารมณ์นั้นๆ ส่วนเจตสิกนอกนี้เว้นเวทนาเจตสิกและสัญญาเจตสิกเป็นสังขารขันธ์ เป็นสภาพธรรมที่ปรุงแต่งจิตและเจตสิกที่เกิดร่วมกัน ส่วนวิญญาณขันธ์ ก็คือนามธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้อารมณ์ก็คือ จิต เพราะฉะนั้นก็ปรมัตถธรรม ๓ เป็นขันธ์ ๕
ผู้ฟัง หน้า ๖๐ กามตัณหา ภาวตัณหา วิภวตัณหา อันนี้อยากจะให้ท่านอาจารย์อธิบายกามตัณหาก่อน
ท่านอาจารย์ ขณะนี้กามได้แก่รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ เราก็ยังมีความไม่รู้ เพราะฉะนั้นจึงมีความติดข้อง เพราะเหตุว่าหลังจากที่เห็นแล้ว ก็จะต้องเป็นกุศลหรืออกุศล แต่ว่ากุศลก็คงจะยาก เพราะว่าปกติก็มีเหตุปัจจัยที่จะทำให้หลังเห็นแล้วก็เป็นอกุศล โดยเฉพาะก็คือความไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม และการยึดถือในสภาพธรรมนั้น มีความพอใจในสิ่งที่เห็นในสิ่งที่ได้ยิน ในทุกสิ่งทุกอย่างที่จิตรู้ในชีวิตประจำวัน เว้โลกุตตรธรรมเท่านั้นที่เราไม่สามารถที่จะเกิดความติดข้องได้ เพราะเหตุว่าไม่มีให้รู้ใช่ไหม
ผูัฟัง กามตัณหา เราพอจะเข้าใจเพราะใกล้ตัวมาก พอไปถึงภวตัณหา วิภวตัณหา ชักงงแล้ว
ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่าไม่ได้มีแต่โลกนี้โลกเดียว แล้วก็ไม่ได้มีแต่กามสุคติคือสวรรค์ แต่ว่าก็ยังมีรูปพรหม และอรูปพรหมด้วย เพราะฉะนั้นผู้ที่ยังติดข้องในรูปพรหม อรูปพรหม ในภพนั้น ก็เป็นภวตัณหา ไม่ว่าจะติดข้องในภพไหน ถ้าในกามภพในมนุษย์ในสวรรค์เป็นต้นเป็นเรื่องของการโลกเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะซึ่งออกยาก กว่าจะไปถึงรูปภพได้ หรือจะถึงหรือไม่ถึงก็อีกเรื่องหนึ่ง เข้าใจว่าเคยถึงมาแล้วได้ แต่ว่าขณะนี้เป็นอย่างนี้ จะไปถึงรูปภพได้ไหม ถ้ายังคงมีความติดข้องในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ ก็ไม่มีการที่จะอบรมจิตให้สงบจากความติดข้องในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ ที่จะให้ถึงความสงบระดับของอัปปนาสมาธิ ซึ่งเป็นรูปฌาน หรืออรูปฌานซึ่งไม่ติดข้องในรูป
ผู้ผัง เราไม่ได้รูปพรหม เราก็มีภวตัณหา เรายินดีที่จะมีที่จะเป็นในปัจจุบันนี้
ท่านอาจารย์ แต่เป็นกามตัณหา เพราะว่าพอใจในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ
ผู้ฟัง มันเกยกัน เพราะเวลาพอเราหยุด อันนี้มันไปอันนั้นแล้ว หมายความว่าอันนี้เขาจะเฉพาะรูปพรหมเท่านั้น
ท่านอาจารย์ ติดข้องในภพจริง แต่ว่าภพไหน กามภพ
ผู้ฟัง จแล้วมันต่างกับวิภวตัณหาอย่างไร
ท่านอาจารย์ วิภวตัณหาต้องเกิดร่วมกับอุจเฉททิฏฐิเท่านั้น หมายความถึงการพอใจในความเห็นผิดว่า ขาดสูญ ไม่มี ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย ผู้ที่มีความเห็นผิดอย่างนี้ เป็นวิภวตัณหา เพราะฉะนั้นต้องทราบความต่างของกามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา สำหรับกามตัณหาก็เป็นความติดข้องในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะตามปกติในชีวิตประจำวัน ถ้าเป็นภวตัณหาก็เป็นการติดข้องในรูปภูมิ อรูปภูมิ และก็ยังรวมถึงการเห็นว่าสิ่งทั้งหลายเที่ยง มีความเห็นผิดว่าเที่ยง เป็นสัสตทิฏฐิ เพราะเหตุว่ามีความเห็นผิดว่าเที่ยงจึงพอใจในภพ
ผู้ฟัง ตกลง ภวตัณหานี้เฉพาะรูปพรหม ถ้าเป็นคนธรรมดา การพอใจในภพนี้กลายเป็นการติดในกาม
ท่านอาจารย์ ภพไหน ก็กามภพ ก็ยังคงเป็นภด แต่เป็นภพกาม
ผู้ฟัง นี่คือความสับสน ถ้าเราไม่เข้าใจจริง แล้วพวกอุจเฉททิฏฐินี่ละ พวกวิภวตัณหานี้ได้แก่พวกไหน
ท่านอาจารย์ ขณะที่มีความเห็นผิด ยึดถือว่าขาดสูญ ตายแล้วสูญ
ผู้ฟัง อันนี้ไม่เข้าใจ
ท่านอาจารย์ ก็ลองไปถามคนที่เขาไม่เข้าใจ และเขาก็บอกว่าตายแล้วก็ต้องสูญ นั่นแหละคือความเห็นผิดว่าสูญ
ผู้ฟัง อยากให้ท่านอาจารย์พูดถึงความเกี่ยวโยงว่า จะไปละถึงตัณหาเลยหรือ หรือว่าควรจะเข้าใจสภาพธรรมที่เกิดตามความเป็นจริง แล้วถึงจะค่อยๆ เข้าใจว่ามันไม่มีตัวตน ถึงแม้จะมีตัณหาอยู่ ตัณหาก็ไม่ใช่เรา
ท่านอาจารย์ ก็ตัณหาก็มีหลายอย่างใช่ไหม ตัณหาในกาม รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ แล้วก็ตัณหาที่มีความเห็นผิดเกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้นความพอใจที่จะยึดถือความเห็นผิด อันนี้ต้องละก่อน ถึงจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม และก็เมื่อโสตาปัตติมัคคจิตเกิดก็ดับทิฏฐิทั้งหมด ไม่เกิดอีกเลย เป็นสมุจเฉท เพราะฉะนั้นเวลาที่พูดถึงละตัณหา ก็ต้องตามลำดับว่า
ขั้นแรกคือตัณหาที่เกิดร่วมกับการยึดถือความเห็นผิดต่างๆ
ขั้นที่สอง เป็นสกทาคามีก็คือ ละความติดข้องในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะอย่างหยาบๆ เป็นพระสกะทาคามี แล้วก็ถึงความเป็นพระอนาคามี คือละความติดข้องในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ แต่ยังมีความยินดีในภพ แม้ว่าจะไม่มีความติดข้องในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ และเมื่อถึงความเป็นพระอรหันต์ก็ดับตัณหาทั้งหมด ไม่มีเลย
เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องของการรู้ตัณหา แล้วก็ละตัณหา หมดถึงความเป็นพระอรหันต์ เพราะว่าพระธรรมที่ทรงแสดง ทรงแสดงให้ค่อยๆ มีความเข้าใจที่ถูกต้อง อบรมความเห็นถูกความเข้าใจถูก ในลักษณะของสภาพธรรม จนสามารถที่จะดับตัณหาได้ ถึงความเป็นพระอรหันต์ ไม่ใช่เพียงแค่ให้หมดกิเลสไปนิดๆ หน่อยๆ หรือตามลำดับแค่พระโสดาบัน แต่ต้องให้ถึงที่สุดคือความติดข้องดับหมด ถึงความเป็นพระอรหันต์
เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่า เรามีตัณหามากแค่ไหน เราก็อาจจะคิดว่าการที่จะละความติดข้องในตัณหาคงไม่ยาก แต่ว่าถ้ายิ่งรู้ก็จะรู้ว่ายากแสนยากทีเดียว
ผู้ฟัง กามตัณหานี้ ต่างกับโลภะในชีวิตประจำวัน
ท่านอาจารย์ ตัณหาคือโลภะ เป็นอีกชื่อหนึ่งของโลภะ โลภะมีชื่อเยอะมากเลย ความยินดี ความเพลิดเพลิน ความติดข้อง เป็นลักษณะต่างๆ ของโลภะ เพราะฉะนั้นจะใช้คำว่าตัณหา หรือจะใช้คำว่าโลภะ ความหมายเหมือนกัน เพราะฉะนั้นถ้าพูดถึงกามตัณหา ตัณหาคือความติดข้องในอะไร ในกาม คือรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ ซึ่งเป็นชีวิตประจำวัน ถึงแม้ว่าเราจะกล่าวว่า ขันธ์เป็นภาระ ก็กำลังนั่งฟังอย่างนี้ จะรู้สึกไหมว่าเป็นภาระ แล้วก็ยังไม่รู้อยู่นั่นเอง เพราะฉะนั้นต้องเป็นปัญญาจริงๆ จึงสามารถที่จะเห็นว่า ขณะนี้เป็นภาระ ให้เห็นว่าขณะนี้เป็นขันธ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปขันธ์ขณะนี้ เวทนาขันธ์สัญญาขันธ์สังขารขันธ์วิญญาณขันธ์ก็เป็นภาระเมื่อมีความติดข้อง ยังถือไว้อย่างแบกไว้ โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าจริงๆ แล้วเราติดข้องในสิ่งต่างๆ เหล่านี้มากมายแค่ไหน เพราะฉะนั้นไม่เห็นตัณหา ไม่เห็นโลภะ แม้ว่ามีโลภะอยู่ตลอด ที่เห็นได้ยินได้กลิ่นลิ้มรสรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสและคิดนึก ความที่ติดข้องนี่หนักไหม ไม่ค่อยรู้สึกใช่ไหม บางทีก็รู้สึกว่าเพลิดเพลินดีสบายดี เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดง จะต่างกับความคิดของชาวโลก เพราะว่าชาวโลกเพลิดเพลินติดข้อง แต่พระองค์ทรงประจักษ์แจ้งความจริงว่า เพราะมีขันธ์ จึงมีความติดข้อง ซึ่งเมื่อมีความติดข้องแล้วก็คือว่า ถือภาระ เป็นหน้าที่ที่จะให้มีขันธ์ต่างๆ เหล่านั้นต่อไป แล้วก็ขันธ์ที่เห็นชัดว่าเป็นภาระ ก็คือรูปขันธ์ ถ้ามีรูปขันธ์แล้วมีใครบ้างที่จะทิ้งรูปขันธ์โดยที่ว่าไม่ดูแลไม่เอาใจใส่ไม่อาบน้ำไม่แต่งตัวไม่ทำอะไรหลายๆ อย่าง เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นก็เห็นแต่เพียงความติดข้องในรูปขันธ์ แต่ตัวความรู้สึกที่ติดข้องในรูป ก็เป็นขันธ์ด้วย เพราะเหตุว่าเมื่อมีความติดข้องอย่างนี้ จึงเป็นภาระที่จะต้องทำหน้าที่เกี่ยวกับรูปขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ก็เป็นหน้าที่ต่างๆ ซึ่งคนที่ทำงานก็จะเบื่องานใช่ไหม ไม่เห็นมีใครชอบงานที่ทำสักคน ก็จะมีแต่คนบอกว่าเบื่อ หรือว่างานนี้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ไม่อยากจะทำอย่างนั้นไม่อยากจะทำอย่างนี้ แต่กำลังทำงานอยู่ โดยที่ไม่เคยรู้ตัวเลยว่าแท้ที่จริงแล้วแต่ละขณะนี้เป็นภาระเป็นหน้าที่ ที่เมื่อมีขันธ์แล้วต้องทำ เพราะเหตุว่าขันธ์นั่นแหละทำ แต่ด้วยความไม่รู้ ก็ยึดถือว่าเป็นเราที่ทำ แต่ว่าตามความเป็นจริงก็คือว่าเป็นขันธ์นั่นเองซึ่งมีภาระมีหน้าที่
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์แล้วสภาพความเบื่อ จริงๆ มันไม่ใช่สภาพของโลภะ แต่เป็นสภาพของโทสะ
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง
ผู้ฟัง แล้วทำไม ยังไม่เข้าใจว่า ตัณหาความติดข้องมันครอบคลุมถึง
ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่าไม่ใช่ปัญญา ตรงกันข้ามกับปัญญา ปัญญาไม่ติดข้องเลยปัญญารู้ความจริงของสภาพธรรม เมื่อประจักษ์ความเกิดดับก็ยิ่งเห็นชัดเจนว่า ไม่มีอะไรนอกจากธรรมที่เกิดแล้วดับไป ตลอดในสังสารวัฎ ทุกชาติ แม้ในขณะนี้สภาพธรรมก็คือเกิดแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นถ้าเห็นอย่างนี้จริงๆ จะหน่าย แต่ไม่ใช่ด้วยโทสะ ถ้าเบื่อ เพราะไม่รู้ใช่ไหม แต่ว่าถ้าเห็นความจริงแล้วคลายความติดข้องเพราะเห็นโทษ เพราะรู้ว่าเป็นภาระ ไม่มีเราแต่ก็มีแต่ภาระ คือขันธ์ทั้งหลายเกิดขึ้นแล้วก็ทำหน้าที่ต่างๆ
ผู้ฟัง ความติดข้อง ถ้าตามความรู้สึกหรือว่าในชีวิตประจำวันนี้มันก็เหมือนกับเราติดข้องในสิ่งที่พอใจ รูปรสกลิ่นเสียงอ อาจารย์แต่สภาพของชีวิตประจำวันเรามันก็มีลักษณะที่เราไม่ชอบไม่พอใจคือโทสะ แล้วเราติดของโทสะด้วย
ท่านอาจารย์ เราติดข้องในความเป็นเราที่มีโทสะ ใช่ไหม เรามีโทสะ ติดข้องในอะไร ติดข้องในความเป็นเราที่มีโทสะ
ผู้ฟัง ถึงแม้เราจะไม่พอใจ ถึงแม้เราจะไม่ทราบว่าอันนี้มันคือความติดข้อง
ท่านอาจารย์ ก็ยังมีความติดข้องในความเป็นเรา สักกายทิฏฐิการยึดถือสภาพนามธรรมรูปธรรมว่าเป็นเรา จึงต้องละก่อน ไม่ใช่ไปละโทสะ ไม่ใช่ไปละความติดข้องในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ แต่ละอวิชาและการยึดถืออวิชาว่าเป็นเรา การยึดถือขันธ์ว่าเป็นเรา
ผู้ฟัง ซึ่งตัวนี้จะหมายถึงตัวโมหะหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ แน่นอนเป็นอีกชื่อหนึ่ง จะใช้คำว่าโมหะ หรือจะใช้คำว่าอวิชชา ก็คือขณะนั้นไม่สามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรม
ผู้ฟัง ขณะที่เรียกว่าอุปทาน ก็คือขณะที่ยึด แต่นี่ขณะนี้ปกติ ยึดอยู่ แต่เราไม่รู้หรอก ทีนี้พอมาทราบที่ท่านเคยกล่าวถึงเรื่องว่า ขณะที่สติปัฐานเกิด รู้เลยว่าขณะนั้นเป็นสภาพธรรมเท่านั้น เพราะอย่างนี้ใช่ไหม เมื่อสติปัฎฐานเกิดหรือว่ารู้ลักษณะว่าเป็นธรรม จึงกลับมาทราบว่า ขณะปกติตอนนี้เราไม่รู้เลยว่าเรายึดติดในสิ่งนั้น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นที่เราพูดถึงธรรมแต่ละอย่าง ลักษณะของสภาพธรรมในชีวิตประจำวัน ลักษณะของโลภะ ลักษณะของโทสะ เราพูดชื่ออยู่นั่นเอง ตราบใดที่สติสัมปชัญญะไม่ได้ระลึกเมื่อลักษณะนั้นปรากฏ แล้วก็รู้ว่าเป็นธรรมแต่ละอย่าง เราพูดขณะนี้ว่า ทุกอย่างเป็นธรรม แต่จะรู้ลักษณะจริงๆ ของธรรมก็ต่อเมื่อสติสัมปชัญญะเกิดเมื่อไหร่ แล้วก็มีลักษณะที่ปรากฏว่าลักษณะนั้นเป็นอย่างนั้น อย่างที่เราเคยรู้มาแล้ว อย่างโทสะก็เกิด แต่เป็นเรา แต่เวลาที่มีสติสัมปชัญญะ รู้ลักษณะของโทสะ สภาพนั้นเป็นธรรมชนิดหนึ่ง ขณะนั้นก็จะเข้าถึง สภาพธรรมที่ไม่ใช่ตัวตน ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่รู้ แล้วก็ได้ฟังพระธรรมที่ให้เห็นตัวจริงของเราชัดเจนขึ้น เพราะวันหนึ่งๆ เราไม่เคยเห็นตัวเราเลย ไม่เคยรู้ว่ามีอะไรบ้างที่ตัว แล้วก็สะสมมาจนกระทั่งเป็นตัวนี้ ทั้งรูปทั้งเวทนาทั้งสัญญาทั้งสังขารทั้งวิญญาณ แต่เวลาฟังธรรมแล้วรู้จักตัวเองขึ้น เป็นโลภะเดินได้หรือเปล่า วันหนึ่งๆ เป็นโทสะเดินได้หรือเปล่า เป็นโมหะ เริ่มเห็น กองนี้ทั้งกองนี้เป็นกองของอะไร เป็นกองของความไม่รู้ เป็นกองของความติดข้อง เป็นกองความยึดถือว่าเป็นเรา ซึ่งถ้าไม่มีพระธรรมจะไม่รู้เลยว่า เราเป็นอย่างนั้นจริงๆ ที่ทรงแสดงไว้ ไม่ใช่คนอื่น แต่ให้เราเริ่มเข้าใจถูกต้องว่า การที่จะวางภาระที่แบกไว้นานเพราะรู้ความจริงของภาระ ไม่ใช่ง่ายเลย ต้องอาศัยการที่ทรงแสดงโดยละเอียด เพราะว่าถ้าเป็นผู้ที่มีกุศลมาก จะทรงแสดงเรื่องทางฝ่ายกุศล แต่ถ้าผู้ฟังเป็นผู้ที่มีอกุศลมาก ทรงแสดงเรื่องของอกุศล ให้รู้จักตัวเองตามความเป็นจริง ถ้ารู้จักตัวเองตามความเป็นจริง จะรู้เลย ถ้าไม่มีปัญญา ไม่สามารถที่จะวางภาระ ไม่สามารถที่จะละโลภะความติดข้องได้เลย เพราะเหตุว่าไม่รู้จักโลภะแล้วจะวางโลภะได้อย่างไร อย่างเราเคยพูดถึงเรื่องของสภาพธรรม ที่เป็นปรมัตถธรรม มีลักษณะจริงๆ แต่ว่าไม่เคยรู้ จนกว่าสติสัมปชัญญะจะเกิด แล้วเราเคยอยู่ในโลกของบัญญัติเรื่องราวต่างๆ โดยที่ว่าพอพูดถึงปรมัตธรรม คนก็จะเหมือนอีกโลกหนึ่งเลย ไม่เคยได้ยินได้ฟัง เรื่องจิตโดยละเอียด เรื่องเจตสิก เรื่องรูป ซึ่งไม่ใช่ใครเลยสักคนเดียว แต่เป็นธรรมแต่ละอย่าง เพราะฉะนั้นก็จะเห็นอีกโลกหนึ่งจากการฟังว่า เป็นโลกของสภาพธรรม เป็นโลกของปรมัตถธรรม ซึ่งก่อนฟังเป็นเรื่องราวของสัตว์บุคคลต่างๆ ประเภทต่างๆ วิชาการความรู้ต่างๆ ไปหมด เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผู้ที่สติสัมปชัญญะเกิดเมื่อไหร่ ผู้นั้นจะเข้าใจความหมายของทะเลชื่อ กับทะเลภาพ
